the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 459 ทำลายขบวนรบ
พอจงเฉิงเห็นรถจักรไอน้ำคืบเข้ามาใกล้ก็เกิดลางสังหรณ์ หลัง
พิจารณาข้อสงสัยในใจมาหลายวันและลองวิเคราะห์ให้ลึกกว่านั้น
เขาก็อนุมานได้ว่ารถจักรไอน้ำนี้อาจจะไม่ใช่ฝีมือของหวังฉงหยาง
ก็ได้ เขากลับคิดว่าน่าจะเป็นพลังของเริ่นเสี่ยวซู่เอง
ถึงจงเฉิงไม่อยากจะเชื่อข้อสันนิษฐานนี้ แต่ว่าเขา
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
แต่พอยอมรับไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ก่อนหน้าก็เป็นอันเข้าใจ
ได้หมด อย่างเช่นว่าทำไมพลังร่างแยกเงาของสูเสี่ยนฉู่ถึงโผล่สอง
สถานที่ในเวลาเดียวกันได้ สูเสี่ยนฉู่เป็นคนบอกเองว่าควบคุมร่าง
แยกเงาได้แต่ในระยะหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น
แถมรู้กันว่ารถจักรไอน้ำของหวังฉงหยางนั้นมีแค่สี่ตู้เท่านั้น แต่
ทำไมทหารสมาคมตระกูลจงถึงเห็นว่ามีสิบหกตู้อยู่เรื่อยดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงน่าจะสามารถคัดลอกพลังพิเศษของผู้อื่น
ได้!
นี่ทำให้จงเฉิงผวากว่าเดิมอีก ถ้าผู้มีพลังพิเศษเป็นเทพเทวา
แล้วผู้มีพลังพิเศษที่คัดลอกพลังผู้อื่นได้แถมยังพัฒนาพลังขึ้นไปอีก
จะเรียกว่าอะไรล่ะ
ตอนที่จงเฉิงโจมตีกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่นั้น เขาแม่*ไม่สนใจไอ้
เด็กนี่เลย เป้าหมายเขาคือหยางเสียวจิ่นและองค์กรผู้ก่อจลาจลที่
หนุนหลังเธอเท่านั้น
และตอนนี้จงเฉิงก็รู้แล้วว่าตัวเองพลาดหนักแล้ว
ทันใดจงเฉิงก็เข้าไปขวางรถออฟโรดทหารที่เร่งกลับมาที่
ฐานทัพ เขาดึงตัวทหารจากที่นั่งฝั่งคนขับลงกับพื้น จากนั้นเขาขับรถ
หนี!
ตอนนี้เป็นเวลาเคอร์ฟิวช่วงกลางคืนของป้อมปราการ 146
แล้ว ตามถนนไม่มีคนเดินอีก เห็นเพียงทหารสมาคมตระกูลจงเดิน
ลาดตระเวนมาแต่ไม่ว่าทหารจะมีกลับมาเป็นกำลังเสริมมากแค่ไหน จงเฉิงก็
ไม่คิดจะหันกลับไปดูแล้ว เขาแค่ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารในรถ สั่งให้
ทหารในป้อมปราการ 146 มาจัดการเริ่นเสี่ยวซู่เสีย
จงเฉิงคิดกับตัวเอง ยังไงพลังเขาก็น่ามีขีดจำ กัดไหม
อย่างเช่นตนควบคุมคนได้แค่สามสิบถึงห้าสิบคนเท่านั้น
รถจักรไอน้ำก็น่าจะมีขีดจำ กัดเช่นกัน ตอนอยู่ในแดนรกร้างมันก็ถูก
กับระเบิดจนกลายเป็นอากาศธาตุเหมือนกันไม่ใช่เหรอ
ตราบใดที่มีจำ นวนทหารมากพอ ก็จะบดขยี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้
จงเฉิงกลับมาคุมสติได้บ้าง ทหารสมาคมตระกูลจงทยอยกลับ
ฐานมาเรื่อยๆ ใหญ่สุดก็เต็มกองร้อย เล็กหน่อยก็หน่วยสองหน่วย
กองกำลังกระจัดกระจายแบบนี้ไม่พอจะหยุดเริ่นเสี่ยวซู่หรอก
จงเฉิงมองไปรอบๆ และสั่งการผ่านวิทยุทันทีว่า “ฉันกำลังไปที่ถนน
จื่อจิง ทหารที่อยู่ใกล้ถนนจื่อจิงให้จัดขบวนแนวป้องกันแล้วตั้งปืนกล
หนักเลย หยุดรถจักรไอน้ำที่ไล่ตามฉันให้ได้!”
นี่น่าจะเป็นวิธิการที่ได้ผลที่สุดแล้ว จงเฉิงรู้ดีว่าตนเองไม่อาจ
วิ่งไปมั่วซั่วได้ เขาควรล่อเริ่นเสี่ยวซู่ไปยังจุดที่ทหารสมาคมตระกูลจงอยู่รวมกันมากที่สุดต่างหาก จากนั้นก็จะใช้โอกาสตอนเริ่นเสี่ยว
แรงหมดจัดการเขาเสีย!
รัตติกาลนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าป้อมปราการ 146 จะหาความสงบ
ไมได้ สัญญาณเตือนดังสนั่นเคล้าไปกับเสียงระเบิดตูมตามบวก
เสียงยิงสาดกระสุน ทำเอาชาวป้อมปราการทั้งหลายหลับไม่ลง
ยามผู้คนตามอาคารบ้านเรือนมองออกหน้าต่างก็เกิด
ความรู้สึกประหลาด ช่วงวันสมาคมตระกูลก็ตามล่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
อยู่ ตอนนี้กลางคืนแล้ว ทำไมถึงเป็นเด็กหนุ่มขับรถไฟไล่ล่าทหาร
สมาคมตระกูลจงแทนล่ะ
ไฉนบทบาทมันกลับพลิกกับเช่นนี้ได้
ยามรถจักรไอน้ำวิ่ง ก็จะมีเสียงแตรเสียงเหล็กกระทบกันดัง
เสนาะหู เป็นครั้งแรกที่เหล่าชาวป้อมปราการได้เห็นพลังพิเศษกับตา
ตัวเอง
เด็กคนหนึ่งเอนพิงหน้าต่างพร้อมร้องว่า “ป๊า มีรถไฟของเล่น
ด้วยล่ะ!”ระหว่างป้อมปราการ 146 และ 145 ก็มีรางรถไฟเช่นกัน ชาว
ป้อมปราการหลายคนก็เคยขึ้นก่อน แต่หลายปีมานี้ สมาคมตระกูล
วุ่นกับการเตรียมการสงครามจนรถไฟจะนำไปใช้ในการทหารเท่านั้น
ตอนที่พวกผู้ใหญ่ได้ยินคำพูดของลูกนั่น ฝ่ายพ่อก็พูดด้วย
สีหน้าซับซ้อนว่า “ลูกรัก นั่นเป็นมันรถไฟของจริง”
เจิ้งย่วนตงสายลับสมาคมตระกูลชิ่งกำลังยืนอยู่หลังหน้าต่าง
แห่งหนึ่งในป้อมปราการ เขาเห็นเต็มสองตาว่ามีรถออฟโรดคันหนึ่ง
กำลังหนีรถไฟที่ไล่ตามหลังมา
เจิ้งย่วนตงเคยได้ยินเรื่องการขับรถไล่ล่ามาก่อนนะ แต่ว่า
เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นกับตา แถมฝ่ายหนึ่งยังขับรถไฟอีกแน่ะ
เจิ้งย่วนตงอาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เรื่องราวความเป็นมา
ทุกอย่าง เขาเป็นคนพาเริ่นเสี่ยวซู่เข้าฐานทัพไปเอง ส่วนรถจักรไอน้ำ
ที่ทะลวงออกจากฐานทัพนั่น ไม่ต้องวิเคราะห์เขาก็พอรู้ว่าอะไรเป็น
อะไร
เขาแค่ไม่เข้าเลยว่าทำไมเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงดุร้ายนักนะหลังจากเจิ้งย่วนตงพาเริ่นเสี่ยวซู่เข้าฐานทัพทหารรักษาการณ์
แล้ว เขารายงานสิ่งที่คาดว่าจะเป็นจุดจบของเด็กหนุ่ม ก็เขาเล่น
พูดว่าจะบุกเข้าไปในสถานที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาด้วยตัวคนเดียว
นี่หน่า
ตอนนั้นหลัวหลานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “อืม รู้แล้ว
เขาเป็นคนตัดสินเองนี่นะ”
ขนาดคนปัญญาอ่อนยังสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยในน้ำ
เสียงนั้น
แต่ว่าตอนนี้เขาจะบอกเถ้าแก่หลัวอะไรอย่างไรดีล่ะ
เขาคงพูดได้แต่ “โทษทีครับ ผมพลาดแล้วล่ะ เหมาะว่า
เด็กหนุ่มนั่นยังไม่จบเห่หรอก แต่เป็นสมาคมตระกูลจงต่างหากที่
จบเห่แล้ว…”
เจิ้งย่วนตงปีนขึ้นหลังคาไปอย่างเงียบงัน เขาสามารถ
เคลื่อนไหวบนอาคารได้อย่างปราดเปรียว แม้ตึกจะห่างกันโข แต่
กระโจนเพียงครั้งเดียวก็ข้ามตึกระยะห้าหกเมตรได้ถึงเขาจะไม่ไช่ผู้มีพลังพิเศษ แต่ก็เป็นหนึ่งจารชนที่เหี้ยมหาญ
ที่สุดในกองกำลังของสมาคมตระกูลชิ่ง
เจิ้งย่วนตงไล่ตามรถไฟตลอดเวลา และเห็นว่ารถจักรไอน้ำนี้
ทะลุทะลวงทุกอุปสรรคขวางกั้น เด็กหนุ่มในรถไฟไล่ตามติดรถออฟ
โรด และมีการโยนระเบิดมือออกเป็นพักๆ
เริ่นเสี่ยวซู่เก็บเกราะไปแล้ว เอานาโนแมชชีนเข้าร่างเพื่อชาร์จ
พลังงานใหม่สำ หรับศึกต่อไป เขาหันขวับมองก็เห็นเจิ้งย่วนตงกำลัง
กระโจนตามหลังคาอยู่จึงยิ้มโบกมือทักทายให้ ทั้งยังส่งสัญญาณ
เป็นนัยๆ ให้ถอยห่างกันอุบัติเหตุ
จิตใจต้องแข็งแกร่งขนาดถึงแม้มีอันตรายล้อมกายก็ยังฉีกยิ้ม
ได้แบบนี้
เขาอยากบอกหลัวหลานทุกรายละเอียดปลีกย่อยจริงๆ
สมาคมตระกูลชิ่งจะได้ใช้มุมมองใหม่ประเมินเด็กหนุ่มผู้นี้!
เริ่นเสี่ยวซู่ไล่ตามจงเฉิงจนคืบเข้าใกล้ถนนจื่อจิง ไฟจราจร
ยังคงฉายชัดกลางทางแยกใหญ่ ไฟนีออนตามอาคารข้างทางก็ยัง
ติดดีทหารสมาคมตระกูลจงหลายร้อยนายยืนรออยู่ตรงสี่แยกนี้
พร้อมกับอาวุธจำ นวนมหาศาล รอคอยให้รถจักรไอน้ำประหลาด
โผล่เข้าแดนสังหาร
จงเฉิงที่เห็นขบวนรบตรงหน้าก็เผลอเหยียบเบรก ใจคิดว่าแค่นี้
จะพอหยุดเริ่นเสี่ยวซู่ไหมนะ!
แต่รถจักรไอน้ำยังมาไม่ถึง ก็มีของประหลาดโผล่จากประตู
เงาตกใส่ตำแหน่งที่ตั้งของคนสมาคมตระกูลจง
ทหารนายหนึ่งก้มลงไปมอง และก็แปลกใจว่าทำไมแถวนี้ถึง
มีไพ่สี่ใบโผล่มาได้
เขาเห็นโพดำหก โพแดงหก ข้ามหลามตัดหก และดอกจิกหก
สะท้อนแสงแวววาว
ตอนแรกพวกทหารก็ยังงุนงงกันอยู่ และคิดว่าเพื่อนทหารคง
เผลอทำไพ่หล่น และก็คิดว่าจะขนไพ่มาที่นี่ทำไมนะ
ถ้าผู้บังคับบัญชารู้เข้า พวกเขาต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันนึกอะไรออกนั้น ก็เห็นว่าไพ่หกแต้ม
สี่ใบนั้นสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็มีเสียงตู้มดังสนั่น ไพ่ระเบิดส่งขึ้นเกือบร้อยขึ้นฟ้าไปในชั่วพริบตา!