the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 65 อาการลงแดง
ทหารสองนายที่ยังไม่กลับมานั้น กล้าออกไปเพียงเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหยางเสียวจิ่นและลั่วซินอวี่ การออกไปข้างนอกพร้อมกัน ก็รับประกันความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง
แต่นี้ก็ผ่านไปสิบนาทีแล้ว พวกเขาสองคนยังไม่กลับมาเลย
สูเสี่ยนฉู่ยืนอยู่ที่ปากโพรงถ้ำ หรี่ตามองเข้าไปในป่า ถึงเพิ่งจะตกเย็น แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มแล้วเพราะเมฆฝน
“พวกเขาเกิดเรื่องแล้วหรือเปล่า” มีคนถาม
“แต่ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนะ” มีคนกล่าวด้วยตัวคุดคู้อยู่ในมุมหนึ่งของโพรงถ้ำ “พวกเขาคงไม่โดนโจมตีโดยไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรหรอกมั้ง”
ถ้าพูดกันตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่เพราะอย่างนี้ ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมอีก สูเสี่ยนฉู่สั่งให้ทุกคนออกไปเป็นกลุ่ม ทำตามเขาแล้ว ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นอยู่ดี
สูเสี่ยนฉู่ว่า “อย่าคิดมากไป พวกเขาอาจจะกลับมาช้าหน่อยเฉยๆ ก็ได้ นี่แค่สิบนาทีเอง”
ทุกคนในโพรงถ้ำพลันตกอยู่ในความเงียบงัน สูเสี่ยนฉู่พูดปลอบแบบนั้นแล้วก็เถอะ แม้เวลาที่แล่นอย่างเชื่องช้าผ่านไป ทหารทั้งสองนายก็ยังไม่โผล่กลับมาอยู่ดี
สูเสี่ยนฉู่กล่าว “มีใครอยากไปช่วยสืบลาดเลาพวกเขากับฉันไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ สูเสี่ยนฉู่ถึงกับกล้าเสี่ยงไปเผชิญหน้ากับอันตรายอันลึกลับ กล้าฝ่าฝนกรดไปหาลูกน้อง
ไม่มีใครสักคนเสนอตัว เวลาแบบนี้ใครจะวอนออกไปหาความตายกันล่ะ ทหารบางนายถ่ายเบาอยู่ในจุดลึกสุดของโพรงถ้ำ ทำให้ทั้งโพรงมีแต่กลิ่นปัสสาวะตลบอบอวล คนอื่นๆ รวมถึงเริ่นเสี่ยวซู่เหมือนถูกบังคับให้ไปนั่งชิดปากถ้ำที่อากาศถ่ายเทดีกว่าอยู่กลายๆ ถึงข้างนอกนี้จะอากาศเย็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าทนเหม็น
สูเสี่ยนฉู่ถอนหายใจ “ตอนนี้ไม่ช่วยผู้อื่น ยามตัวเองลำบาก แล้วไม่มีผู้อื่นช่วย ก็อย่าไปโทษใครก็แล้วกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กังวลเรื่องนั้นเลย เพราะเขาไม่คิดว่าคนอื่นจะมาช่วยเขาหรอก ต่อให้เป็นหยางเสียวจิ่นที่เป็นพันธมิตรกันอยู่ ถ้าเธอตกอยู่ในอันตราย ก็พร้อมจะสละผู้อื่นเหมือนกันแหละ
พวกเขาไม่ใช่ญาติโกโหติกากัน ไม่ทำร้ายกันเองก็ดีถมเถแล้ว
เสียงฝนสาดเทกระทบใบไม้ดังแว่วมาในโพรงถ้ำ เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหยางเสียวจิ่น “ครึ่งคืนแรกฉันเฝ้า เธอไปพักก่อนเถอะ พอฝนตกแบบนี้ทำให้ป่าเดินยากขึ้นมาก มันจะดูดพลังงานจนหมดตัวแน่ ระวังเจ้าพวกทหารนั่นด้วย ล้วนไม่ใช่ตัวดี”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ตัวว่าตั้งแต่พวกเขาสองคนยึดปืนพวกทหารมา พวกนั้นคงรวมหัวกันเป็นการชั่วคราว เดี๋ยวต้องสร้างปัญหายุ่งยากอีกแน่ ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังคิดวิธีรับมือไม่ออก
“อือ” หยางเสียวจิ่นพยักหน้า จากนั้นก็หลับตา ตัวพิงผนังโพรงถ้ำเตรียมพักผ่อน แต่กระนั้นปืนในมือเธอก็ยังชี้ไปทางทุกคน ซึ่งรวมไปถึงเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม ไม่คิดมากอะไร ถ้าเป็นเขา เขาก็คงทำแบบเธอนี่แหละ
กลุ่มสิบเอ็ดคนหดเหลือเก้าคนอย่างลึกลับ เริ่นเสี่ยวซู่มองดูพวกทหารที่เหลืออยู่ และคนบางคนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ กลิ่นที่แฝงอยู่ในควันบุหรี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่คลื่นไส้
ทหารใช้ยาเสพติดมอมเมาตัวเองแบบนี้ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าการป้องกันของป้อมปราการมันอ่อนแอขนาดไหน
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะป้อมปราการ 113 หรือเกิดขึ้นกับป้อมปราการอื่นๆ ด้วยกันหนอ
ทหารพวกนี้พกบุหรี่กันมาไม่น้อยเลย หลิวปู้เองก็เตรียมมาอีกสิบซองให้พวกเขา แต่ว่าตอนหนีก็ล้วนทำหายเกือบหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขาน่าจะเหลือกันแค่ซองครึ่งหรือซองหนึ่งเท่านั้น บางคนอาจจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
คนกลุ่มหนึ่งนั่งสูบบุหรี่กัน ทำเอาทั้งโพรงถ้ำมีควันลอยโขมง โชคดีที่เริ่นเสี่ยวซู่ หยางเสียวจิ่น และลั่วซินอวี่มานั่งใกล้ปากถ้ำ เลยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
พวกเขาได้ยินทหารนายหนึ่งพูด “ขอมวนดิ ของฉันหมดแล้วว่ะ”
“ฉันก็หมดแล้ว นี่มวนท้ายแล้ว” ทหารที่อยู่ด้านข้างขยับตัวหนีกระเถิบไปอีกฝั่งหน่อยหนึ่ง จริงๆ แล้วในกระเป๋าของเขายังเหลืออีกครึ่งซองกว่า แต่ว่าวันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล ใครจะรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ ที่เก็บไว้ยังไม่พอเลย
ทหารคนที่เสี้ยนบุหรี่หันไปหาคนอื่นๆ “ยืมสักมวนสิ เดี๋ยวกลับป้อมไป คืนซองหนึ่งเลย”
ตอนนี้เขาเกิดอาการ ‘ลงแดง’ เสียแล้ว ปากโพล่งสัญญาไปเพื่อให้ได้สูบบุหรี่ และในป้อมปราการเอง ราคาบุหรี่ก็ใช่ย่อยเลย
“พวกเราจะได้รอดชีวิตกลับไปป้อมหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” มีคนแค่นเสียง “ถึงเวลาจะจ่ายคืนยังไงมิทราบ ด้วยชีวิตงั้นสิ”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ ทหารพวกนี้เป็นกลุ่มเหลวแหลกอันไร้ระเบียบสิ้นดี เพื่อนร่วมอาชีพสองนายไม่รู้เป็นหรือตาย ยังจะมีหน้ามาทะเลาะกันเรื่องบุหรี่อีก
ทหารนายที่เกิดอาการลงแดงหาบุหรี่ไม่ได้ ก็ได้แต่นั่งอยู่ในโพรงถ้ำเปล่าๆ ปลี้ๆ เช่นนั้น เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจมองเขา พลันเห็นว่าเขากำลังตัวสั่น เหงื่อเม็ดโตซึมออกทางหน้าผาก
บุหรี่ของพวกทหารจะมีคุณภาพสูงกว่าที่คนงานสูบก็จริง แต่อาการลงแดงก็หนักกว่าด้วย
ถ้าต้องเจอกับเหตุร้ายตอนนี้ละก็ เจ้าคนติดยานี่ยืนคงไม่ไหวเลยมั้ง เรื่องจะต่อสู้นี่อย่าไปคิด
เริ่นเสี่ยวซู่มองลั่วซินอวี่ที่ยังตื่นอยู่ พูด “ข้างในป้อมปราการของพวกเธอ…หน้าตาเป็นเป็นแบบไหนเนี่ย”
นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยสุดแล้ว ด้วยตัวเขาเองนั้นอยากเข้าไปอยู่ในป้อมปราการนัก ของใช้ชีวิตประจำวันคุณภาพที่ดีที่สุดที่ผลิตในเมือง ล้วนถูกคัดเลือกและส่งเข้าไปในป้อมปราการจนหมดสิ้น คนในป้อมปราการล้วนไม่ต้องกินขนมปังข้าวโพด แถมยังได้ล้างหน้าได้ทุกวัน ว่ากันว่าในนั้นมีไฟฟ้าใช้ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวนมองป้อมปราการราวสรวงสวรรค์ ทว่าดูท่าแล้วมันไม่ได้งดงามอย่างที่จินตนาการไว้เลย
ลั่วซินอวี่เห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่เริ่มคุยกับเธอก่อนก็ยินดียิ่ง มีเรื่องไม่น้อยที่เธอต้องพึ่งพาเขาระหว่างการเดินทางนี้ เธอกระซิบอธิบาย “จริงๆ แล้วมีคนตั้งใจทำให้ทหารเป็นแบบนี้น่ะ มีทหารกองกำลังส่วนตัวของป้อมหนึ่งก่อกบฏขึ้น ผู้ปกครองของป้อมอื่นๆ เลยค่อยๆ เกิดความมุ่งร้ายต่อพวกทหารขึ้นมา พวกคนใหญ่โตต่างอยากได้คนมาปกป้องคุ้มกัน แต่ก็อยากให้ทหารของตนนั้นจงรักภักดีไร้ความทะเยอะทะยานด้วย และบุหรี่พวกนี้เองก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ทำให้พวกทหารหมดความคิดมักใหญ่ใฝ่สูงไป”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สูบบุหรี่มากขนาดนี้ไม่เป็นอะไรเหรอ”
“แหงแหละว่าไม่ดี” ลั่วซินอวี่กล่าว “ทหารที่ปลดแล้วบางคนนี่อย่างกับผีดิบ…ทำเอาภรรยาพวกเขาหนีกระเจิงไปหาชายอื่นเลย”
“ในป้อมปราการนี่วุ่นวายไม่ใช่น้อยนะเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ
“แค่นั้นยังน้อยไป” ลั่วซินอวี่ว่าต่อ “ฉันเคยเห็นป้าอายุหกสิบเลี้ยงเด็กหนุ่มหน้าขาวเป็นสิบๆคน วัวแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ!”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “อายุหกสิบ? ไม่น่าจะวัวแก่กินหญ้าอ่อนแล้วมั้ง”
ลั่วซินอวี่เลิกคิ้ว “งั้นต้องเป็นอะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งว่า “มีบุตรยามชรา?!”
ลั่วซินอวี่ “…”
ลั่วซินอวี่พลันแจ้งแถลงไขว่าสมองเริ่นเสี่ยวซู่นั้นประหลาดกว่าผู้อื่นไม่น้อยอย่างจริงแท้ ถึงว่าทำไมคนในเมืองถึงบอกว่าหัวเขาไม่ปกติกันทั้งนั้น! เขาดูไปดูมาก็ปกติดี แต่พฤติกรรมกลับเหมือนพวกมีโรคจิตเภท จิตใจหาความเอาแน่นอนเป็นไม่ได้!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งอุทานดังขึ้นมาจากข้างในโพรงถ้ำ “อะไรวะ! อะไรแฉะๆ วะเนี่ย!”
พูดจบ ทั้งกลุ่มก็วิ่งออกไปจากถ้ำราวกับว่าเจอเรื่องชวนตกตะลึงบางประการ เริ่นเสี่ยวซู่มองเข้าไปในโพรงถ้ำอย่างสับสนงงงวย แต่ก็ไม่พบอะไร