the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 84 เสียงปืนลั่นกลางดึก
“ลิ่วหยวน เธอต้องเลิกออกไปไหนมาไหนตัวคนเดียวแล้วนะ” เสี่ยวอวี้เอ่ยขึ้นในห้องอันมืดมิด “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันจะไปบอกพี่เธอยังไง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ ผมไม่ทำอีกแล้วละ” เหยียนลิ่วหยวนให้คำสัญญา ช่วงนี้ความเชื่อมั่นในตัวเสี่ยวอวี้เขาเพิ่มขึ้นมาก เพราะเธอดูแลเขาอยู่ตลอด แม้มีโอกาสจะทิ้งเขาไปก็ตาม
เขาไข้ขึ้นสูงมาหลายวัน เสี่ยวอวี้จะแอบฉกเงินไปไม่มีใครทำอะไรได้ แต่เธอไม่ทำ
ระหว่างที่เขาหลับอยู่นั้น ก็จะมีผ้าเช็ดตัวเย็นๆ คอยเช็ดใบหน้า และตามซอกแขนเพื่อลดอุณหภูมิของเขาอยู่ตลอด เหยียนลิ่วหยวนยังได้ยินเสียงร้องเพลงนุ่มคลอเบาๆ ราวกับน้ำทะเลอันอบอุ่นด้วยซ้ำไป ทำให้เขานึกย้อนไปวัยเด็กยามอยู่ในอ้อมอกของมารดา
เหยียนลิ่วหยวนไม่เคยพบเจอกับความรู้สึกนี้มาก่อน ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่จะให้ความอบอุ่นและคอยดูแลเขามามาก แต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังไขว่คว้าไล่ตามพี่ชาย มากกว่าจะเป็นการได้การโอบกอดเช่นนี้
“ดีแล้ว” เสียวอวี้ได้ยินแบบนั้นก็วางใจ เธอคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะพูดออกไป “ไหนๆ ก็หายไข้แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมเข้าเรียนล่ะ”
เหยียนลิ่วหยวนได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีด “พี่เสี่ยวอวี้ พี่ผมไม่อยู่สักหน่อย ไม่ต้องก็ได้มั้ง!”
“ไม่ได้หรอก” เสี่ยวอวี้ว่า “ถ้าเสี่ยวซู่กลับมาแล้วเห็นเธอเรียนไม่ทันเพื่อน เขาจะโทษฉันแน่ ก่อนไปเขาบอกงั้นน่ะ”
“เขาไปบอกพี่ตอนไหน!” เหยียนลิ่วหยวนกรีดร้อง “ผมไม่เห็นได้ยินพี่เขาพูดอะไรเลยนะ!”
เสี่ยวอวี้ที่นอนอยู่บนที่นอนหัวเราะคิกคัก “ยังไงอะไรฉันไม่สนละ เธอต้องเชื่อฟังก็พอ”
เหยียนลิ่วหยวนหมดเรี่ยวหมดแรงจะต่อปากต่อคำ เขาเหม่อมองเพดานห้อง แต่ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มน้อยๆ ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงกระโดดลงมาในลานโรงเรียน แถมไม่ใช่คนเดียวด้วย!
เสี่ยวอวี้ก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน เสี่ยวอวี้ผู้อ่อนโยนพลันชักมีดกระดูกออกมาจากใต้หมอน เธอกัดฟันกรอด “เงียบไว้!”
ในห้องมืดสลัว เหยียนลิ่วหยวนเห็นเสี่ยวอวี้ตัวสั่นเล็กน้อย พวกเขาทราบดีคนที่กระโดดข้ามกำแพงสวนมาในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์ดี แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ด้วย เสี่ยวอวี้ได้แต่ต้องปกป้องเหยียนลิ่วหยวนด้วยตัวเธอเอง
วินาทีต่อมา ก็มีชายร่างกำยำเตะเปิดประตูเข้ามา สองคนในนั้นกดเสี่ยวอวี้ลงกับพื้น ส่วนอีกคนพุ่งไปจ้วงแทงมีดกระดูกใส่เหยียนลิ่วหยวนที่นอนอยู่บนเตียง
แม้เสี่ยวอวี้จะมีมีดกระดูก แต่กำลังของผู้หญิงย่อมไม่อาจเทียบกับชายฉกรรจ์ได้
ยามหนึ่งในชายร่างกำยำกระโจนมา เขาก็ร้องกรอดเหมือนโดนเธอแทงเข้า แต่ว่าชายอีกคนรีบเตะมีดออกจากมือเธอไป!
เหยียนลิ่วหยวนใช้แสงจันทร์ช่วยมอง และในพริบตานั้นเขาจำได้ว่าเจ้าสามคนนี้คือพวกเกกมะเหรกไร้งานทำในเมือง ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะกล้ามาลงมือในโรงเรียน!
บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าหลังเริ่นเสี่ยวซู่เปิดคลินิก คงได้เงินมาจำนวนไม่ใช่น้อย ทว่าตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ในเมือง เลยคิดลงมือกระทำชั่ว
ช่วงนี้ยามต้องใช้เงิน เธอระมัดระวังตัวแจ ทุกครั้งที่ออกไปจ่ายตลาด เธอมักจะต่อราคาอยู่นาน เธอถึงกับไปเก็บผักป่าเอง เพื่อแสร้งเป็นไม่มีเงินด้วยซ้ำ
แต่เพราะเหยียนลิ่วหยวนป่วยอยู่ จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหาร สุดท้ายเธอเลยต้องซื้อเนื้อมา และคงจะไปล่อใจผู้อื่นเข้าให้
นี่แหละหนาคือความน่ากลัวของครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายฉกรรจ์อยู่ แม้เหยียนลิ่วหยวนจะเป็นผู้ชายเช่นกัน แต่เขายังเด็กเกินกว่าจะสร้างความกดดันให้ผู้อื่นได้
ดูเหมือนตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้จะมีเงินไม่น้อย ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียน ก็ไม่ทำให้พวกโจรนี่ล้มเลิกความคิดจะปล้นพวกเขา
ขณะเดียวกัน เหยียนลิ่วหยวนก็ได้ยินเสียงประตูด้านข้างถูกเตะออก ดูเหมือนว่ามีคนคิดจะลงมือสังหารจางจิ่งหลิน! คนพวกนี้บ้าไปแล้ว ถึงคิดกล้าลงมือกับผู้เป็นอาจารย์สอนของโรงเรียน คิดลงมือฆ่าปิดปากทุกคน จะไม่มีพยานรู้เห็นว่าใครเป็นคนลงมือปล้น
ทว่าในชั่วลัดนิ้วนั้น เสียงปืนก็ดังลั่นสนั่นกลางรัตติกาล เจ้าคนเกกมะเหรกที่คิดจะจ้วงแทงใส่เหยียนลิ่วหยวน มองปากกระบอกปืนสีดำ ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาก้มมองลงหน้าท้องที่มีเลือดไหลพราก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหยียนลิ่วหยวนถึงมีปืนอยู่ในมือได้!
ถ้าพวกเขารู้ว่าเหยียนลิ่วหยวนมีปืน เขาไม่คิดกล้าจะเสี่ยงเข้ามาปล้นแม้แต่นิด จริงๆ แล้วปืนเป็นอาวุธต้องห้ามในเมือง เคยมีคนคิดทำปืนของตัวเอง แต่ก็ถูกป้อมปราการยึดไปหมด
ทุกคนในห้องตะลึงมองเหยียนลิ่วหยวน กระทั่งตัวเสี่ยวอวี้เองก็คาดไม่ถึงเรื่องนี้
กระสุนอีกหกนัดลั่นออกไปชั่วพริบตา หลังจากเหยียนลิ่วหยวนฆ่าไปหนึ่งก็ไม่สั่นกลัวแม้แต่น้อย เขารีบยิงสังหารเจ้าพวกพวกอันธพาลอีกสองคนที่พุ่งไปหาเสี่ยวอวี้ก่อนหน้า
ทุกครั้งที่เหยียนลิ่วหยวนลั่นไก เขารู้สึกเหมือนกับความมืดในจิตใจกำลังค่อยๆ ดึงเขาเข้าไปสู่หุบเหวลึก ในโลกใบนี้ ถ้าอยากรอด ก็ต้องฆ่า!
เขากระโดดลงจากเตียงและวิ่งออกประตูไป เจ้าพวกอันธพาลสองคนที่เพิ่งพุ่งเข้าไปห้องจางจิ่งหลินนั้น พอได้ยินเสียงปืนก็วิ่งออกมา ทว่าก็สายเกินไปแล้ว!
เสียงปืนดังขึ้นอีกสองครา เพียงหนึ่งนาที เหยียนลิ่วหยวนลั่นไกสังหารไปห้าคน! เสียงปืนดังสนั่นลั่นไปทั่วราวเสียงคำราม!
คุณจางเดินออกมาจากห้อง พลางจ้องมองไปที่เหยียนลิ่วหยวนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา ราวกับกำลังทำความรู้จักเด็กชายผู้นี้ใหม่อีกครั้ง
จางจิ่งหลินทราบดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนดุร้ายอำมหิต กระทั่งก็รู้ว่าเหยียนลิ่วหยวนได้รับอิทธิพลจากเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ตลอดเป็นเวลาหลายปี ถึงเหยียนลิ่วหยวนจะเป็นนักเรียนรุ่นที่เด็กที่สุดของโรงเรียน แต่เด็กที่โตกว่าก็ไม่กล้าหาเรื่องเขา ถึงขนาดกลัวเขาเสียด้วยซ้ำไป
จะมีลูกหลานอายุเพียงสิบสามปีของใครบ้างที่รู้วิธียิงคนและฆ่าคนเช่นนี้ได้
เขายืนนิ่งกลางแอ่งโลหิตนอกห้อง ใบหน้าชืดชาไม่ยี่หระ ทว่าหากมองที่มือที่สั่นไหวอยู่น้อยๆ ก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วเหยียนลิ่วหยวนเองก็เกิดความกลัว
เสี่ยวอวี้ก็เดินออกมาจากห้องเช่นกัน เธอเข้าโอบกอดเหยียนลิ่วหยวนแน่น “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว”
ชัดเจนว่าเป็นเหยียนลิ่วหยวนที่ออกมาช่วยเหลือทุกคน ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ การที่เสี่ยวอวี้เข้ามากอดเขาเช่นนี้ ทำให้เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกรู้โล่งใจนัก อ้อมกอดอันอบอุ่นสลายความเย็นยะเยือกในร่างกายเขาไป
เสียงปืนดังสนั่นจนสะดุ้งปลุกทุกคนในเมืองจนตื่น ทุกคนออกมาจากบ้านแล้วหันไปทางโรงเรียน ทว่ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
คนของป้อมปราการกลับเข้าป้อมไปหมดแล้ว ทำไมถึงมีเสียงปืนอยู่อีกล่ะ จากที่ผู้อพยพรู้มา มีแต่คนสำคัญในป้อมปราการเท่านั้นถึงจะมีปืนในครอบครอง
จางจิ่งหลินมองปืนในมือเหยียนลิ่วหยวนแล้วถอนหายใจ “เริ่นเสี่ยวซู่ทิ้งปืนไว้ให้เธออย่างงั้นสินะ ที่ออกไปตอนบ่ายก็คือออกไปเอาปืน?”
“ใช่ครับ” เหยียนลิ่วหยวนพูด “ผมจะออกจากเมืองนี้ไปพร้อมกับพี่เสี่ยวอวี้ทันที พวกเราไม่สร้างปัญหาให้อาจารย์หรอกครับ”
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะออกเดินทาง เขาก็แยกออกจากกลุ่มมาพักหนึ่งเพื่อไปยังจุดที่เขาฝังปืนไว้ แต่แทนที่จะพกมันไปด้วย เขากลับทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้เหยียนลิ่วหยวน
ก่อนเดินทาง เขาลอบบอกให้เหยียนลิ่วหยวนไปเก็บปืนมาทันทีที่เขาออกจากเมืองไป ถ้าเจออันตรายที่ไม่อาจสู้ไหว ก็ให้ใช้ปืนเสียแล้วหนีเข้าแดนรกร้างไป เขาเตรียมถ้ำลับในแดนรกร้างไว้ให้เหยียนลิ่วหยวนแอบซ่อนตัวแล้ว
พอเริ่นเสี่ยวซู่จัดการภารกิจเสร็จ เขาจะมาตามหาพวกตนเอง