หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 744
ร่างอรหันต์หลัวฮั้น
แสงสีทองเปล่งประกายพร่างพราว
ร่างทองคำใหญ่โตยืนอยู่บนเทือกเขาที่ถูกทำลายพร้อมกับดวงอาทิตย์แผดเผาลอยอยู่เบื้องหลังศีรษะ ดูราวกับพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สร้างแรงกดดันน่ากลัวออกมา
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในบริเวณนี้ดวงตาหดเกร็งจากการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของร่างใหญ่โตสีทอง เนื่องจากพวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกมา
แรงกดดันนี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองควรมี
แม้พวกเขาจะบอกได้ว่าร่างพระพุทธรูปทองคำใหญ่โตเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินได้ชำระ แต่พวกเขาก็บอกไม่ได้ว่าร่างเทห์สวรรค์นี้มีที่มาอย่างไร
เนื่องจากในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหมือนกับร่างนี้เลยและแรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาจะมีได้
“หรือว่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อน่ะ?” เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากเหล่าจอมยุทธ์ เนื่องจากร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังเช่นนี้มีแรงดึงดูดต่อพวกเขามากเลยทีเดียว
บนท้องฟ้า ฉิงเปยก็ขมวดคิ้ว ขณะมองร่างเทห์สวรรค์เจิดจ้าที่เหมือนหลอมมาจากทองคำ “มีความสามารถจริงๆ”
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสำหรับเขา เพราะไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็ได้รับเลือกจากประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่คนโง่เง่าที่สุดก็ไม่สงสัยในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหรอก
ตู้ม!
ขณะที่ฉิงเปยพึมพำกับตัวเอง มู่เฉินที่อยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะก็วาดตราประทับด้วยสายตาเยือกเย็น แสงสีทองหมุนเวียน ร่างเทพสุริยะก็กระทืบเท้าอย่างรวดเร็วแล้วทะยานขึ้น
วาบ!
ร่างขนาดใหญ่กลับมีความเร็วปานฟ้าแลบ ทุกคนเห็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า จากนั้นร่างเทพสุริยะก็ไปปรากฏตัวเหนือฉิงเปยแล้ว
ตึง!
ฝ่ามือทองคำตบใส่ฉิงเปย ฝ่ามือนั้นดูราวกับหลอมมาจากทองคำทะลุผ่านมิติมาพร้อมกับแรงกดดันที่ถล่มภูเขาเคลื่อนมหาสมุทรรวมกับเกลียวแสงสีทองเจิดจ้าขณะที่บีบกดลงมาจากท้องฟ้า
ลมแหลมคมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขาดอากาศหายใจกวาดเข้ามา ทำให้กระทั่งฉิงเปยยังมีสีหน้าเคร่งเครียดอึดใจเขาก็เหวี่ยงฝ่ามือไปข้างหน้า ตราประทับฝ่ามือพุ่งออกมา
ตึง!
สองตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ปะทะกัน แต่ครั้งนี้ตราประทับของฉิงเปยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบอีกต่อไป กลับสลายตัวทันทีที่สัมผัสกัน
คลื่นกระแทกกวาดตัวออกขณะที่ร่างของฉิงเปยสั่นสะเทือนแล้วถลากลับไปเป็นร้อยเมตรจากคลื่นกระแทก
ฮือฮา!
ความโกลาหลปะทุขึ้นจากฝั่งแดนร้อยสงคราม พวกเขาไม่คิดว่าฉิงเปยที่ได้เปรียบในเมื่อสักครู่จะถูกสยบ ในตอนนี้พวกเขาถึงกับต้องโยนคำสบประมาทที่มีต่อมู่เฉินทิ้งไป แม้ชายคนนี้จะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น แต่ดูท่าเขาจะมีความสามารถเฉพาะตัวบางอย่างจริงๆ
“ถ้าเจ้าไม่เรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมา ข้าว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจน่าสะพรึงเหมือนเมื่อครู่อีกแล้วนะ” มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทห์สวรรค์พลางส่งยิ้มให้ฉิงเปย
สายตาของฉิงเปยเย็นเยือกลงขณะมองมู่เฉิน จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ตามขอ!”
มือทั้งสองประกบกัน ตราประทับก็เปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ทิ้งภาพเงาพร่าเลือนเอาไว้
ตู้ม!
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างของฉิงเปย ร่างใหญ่โตก่อตัวเบื้องหลัง ร่างนี้มีขนาดราวหนึ่งพันจั้งยืนตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้า ทั้งร่างห่อหุ้มด้วยผ้ากาสาวะทองคำ มือถือคทาทองคำขนาดใหญ่ ขณะที่กำจายรังสีคุกคามออกมา
“นี่คือร่างอรหันต์หลัวฮั้นอันดับเก้าสิบสามในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!”
ทันทีที่ฉิงเปยเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา ก็เรียกเสียงอุทานขึ้นทันที คิดว่าทุกคนคงคุ้นเคยกับร่างเทห์สวรรค์นี้ดี เนื่องจากนี่ถือเป็นร่างเทห์สวรรค์ทรงพลังที่มีเพียงศิษย์เอกของพิลาลสสวรรค์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติฝึกฝนได้
“ร่างอรหันต์หลัวฮั้นอันดับเก้าสิบสามรึ?”
มู่เฉินมองร่างเทห์สวรรค์ที่แผ่รังสีข่มขู่ออกมาก็ยิ้มบาง ถ้าจะแข่งลำดับของร่างเทห์สวรรค์ บางทีไม่มีใครที่นี่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหนือกว่าร่างเทพสุริยะแล้ว
หากพวกเขามีพลังเท่าเทียมกัน มู่เฉินก็มั่นใจว่าจะสามารถกวาดทุกคนที่นี่ได้ด้วยร่างเทพสุริยะ
“ตู้ม!”
สำหรับฉิงเปยชัดว่าไม่รู้จักคำว่าเกรงใจ ทันทีที่เขาเร้าร่างอรหันต์หลัวฮั้นออกมา มันก็กระทืบเท้าส่งแรงทะยานออกไป คทาทองคำเปลี่ยนเป็นกระแสเชี่ยวกรากกวาดไปหาร่างเทพสุริยะ
สายธารที่เกิดจากคทาทองคำขยายขนาดในดวงตาของมู่เฉิน เขาสะบัดมือเรียกเสาปีศาจขึ้นมาบนมือร่างเทพสุริยะ อึดใจรัศมีร้ายกาจก็ระเบิดออกขณะที่พุ่งปะทะไม่มีถอย
แม้ว่าฉิงเปยจะอยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสี่ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวหากพวกเขาสู้กันด้วยร่างเทห์สวรรค์!
ตึง!
ร่างยักษ์สองร่างปะทะกันสนั่นหวั่นไหวบนท้องฟ้า ทำให้แม้แต่มิติยังเกิดการกระเพื่อม คทาทองคำและเสาปีศาจฟาดกันอย่างต่อเนื่อง เสียงโลหะกระทบกันดังราวกับฟ้าผ่าพร้อมกับประกายไฟปะทุเปรี้ยงปร้างราวดอกไม้ไฟแตกออกบนท้องฟ้า
ทุกคนจ้องมองการต่อสู้บ้าคลั่งบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่ออมมือ ทุกการโจมตีของพวกเขาดุดัน หากถูกลูกหลงซัดเข้าละก็ ได้บาดเจ็บสาหัสกันแน่นอน
เพียงไม่กี่นาที ร่างยักษ์ทั้งสองก็ปะทะกันไปเป็นร้อยกระบวนท่า โดยคลื่นหลิงกระเพื่อมไหวทำให้มิติบริเวณนั้นบิดเบี้ยวทั้งหมด
ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์ส่วนใหญ่มีแววตาตกตะลึงขณะมองการดวลกันบนท้องฟ้า ยิ่งพวกสูชิงกับโจวเยี่ยถึงกับมีสายตาซับซ้อนเลยทีเดียว
พลังในตอนนี้ที่มู่เฉินแสดงออกมา แข็งแกร่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับหวูเทียนอย่างเห็นได้ชัด มากจนกระทั่งแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เสมือนระดับจื้อจุนขั้นสี่อย่างฉิงเปยก็ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่าตนไม่อาจทำได้
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้มขื่น โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มที่เพิ่งมาอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ถึงหนึ่งปีก็เติบโตจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านประมุขถึงให้ความสนใจกับเขานัก
“จบศึกครั้งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าแม่ทัพใหญ่ของข้าคงจะต้องเปลี่ยนแล้ว” สูชิงยิ้ม เขาไม่ได้อิจฉาอะไรนัก แต่แค่รู้สึกไม่เต็มใจ ดูเหมือนเขาจะต้องทุ่มเทฝึกวรยุทธให้หนักขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าถูกมู่เฉินแซงหน้าไปเยอะ ก็จะทำร้ายจิตใจกันเกินไป
โจวเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “มู่เฉินน่าสะพรึงยิ่งกว่าเฉาเฟิงหลายขุม”
ตู้ม!
ขณะความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในใจของเหล่าจอมยุทธ์ การปะทะกันบนฟ้าก็ไม่ได้หยุดลง การโจมตีรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป
ฉิงเปยยืนอยู่บนหัวของร่างอรหันต์หลัวฮั้น ราวกับว่าทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อปะทะกันมากขึ้น เขาก็เริ่มมีความตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาตระหนักได้ว่าร่างเทพสุริยะไม่มีท่าทีว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลย ยิ่งกว่านั้นพลังงานที่มาจากเสาปีศาจยังทำให้แสงสีทองของคทาเขาหม่นลง
“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับร่างเทห์สวรรค์ของเจ้านั่น!” สายตาของฉิงเปยเปลี่ยนไป จากนั้นใบหน้าก็คมชัดขึ้น ดูเหมือนการประลองยกนี้จะยืดเยื้อต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“น่าจะพร้อมแล้วแหละ”
ฉิงเปยกวาดสายตาผ่านมิติ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้างฉับพลัน
ขณะที่เขาวาดตราประทับ ร่างอรหันต์หลัวฮั้นก็ถอยออกไปเป็นพันเมตร ฝ่ามือใหญ่ประสานกันพร้อมกับเสียงครางกระหึ่มราวกับเสียงฟ้าคำรนระเบิดออกมา “ค่ายกลอรหันต์หลัวฮั้น!”
ฮึ่ม!
ขณะที่เสียงกึกก้องดังออกมา สายตามู่เฉินก็หดลง เขารีบเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าความผันผวนแผ่ออกมาจากมิติที่เขาอยู่ เมื่อแสงสีทองกระจายออก ก็ก่อตัวเป็นคทาทองคำรอบตัวล้อมเขาไว้
คทาทองคำมีจำนวนเป็นพันเห็นจะได้ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นน่าตกตะลึงยิ่งนัก ส่วนคลื่นหลิงบ้าคลั่งก็ทำให้ทั่วบริเวณเกิดการกระเพื่อม
ภาพที่เกิดฉับพลันนี้ทำให้จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายต่างตกใจ สายตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความตกตะลึงเมื่อมองไปที่ฉิงเปย ชายคนนั้นสมกับเป็นแม่ทัพที่มีข้อมูลน้อยสุดในแดนร้อยสงครามแต่กลับทรงพลังมากที่สุด ใครจะคิดว่าเขาจะวางค่ายกลสังหารระหว่างต่อสู้อย่างดุเดือดกับมู่เฉินไว้ด้วย
ค่ายกลอรหันต์หลังฮั้นที่จริงไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นทักษะลับที่ฉิงเปยลอบสร้างขึ้น ดูจากขนาดการโจมตีแล้ว ก็เพียงพอที่จะชี้ชะตาผลการประลองครั้งนี้
“การประลองยกนี้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
เมื่อเฒ่าเร้นกระบี่กับพรรคพวกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็พากันหัวเราะเบาๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าค่ายกลอรหันต์หลัวฮั้นนี้เป็นหนึ่งในไพ่ตายของฉิงเปย เมื่อไรที่เขาใช้กระบวนท่านี้ ก็เพียงพอที่จะสังหารศัตรู
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีร่างเทห์สวรรค์ถูกทำลายเพราะกระบวนท่านี้ไปแล้วเท่าไร
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองคทาทองคำหนาแน่นเหล่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงป่าเถื่อนแผ่ออกมา สายตาของเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ฉิงเปยไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายจริงๆ
“ตู้ม!”
ฉิงเปยไม่ลังเล ทันทีที่ค่ายกลก่อตัวขึ้น เขาก็สะบัดมือคทาทองคำพุ่งแหวกมิติ เปลี่ยนเป็นกระแสสีทองนับไม่ถ้วนยิงใส่ร่างเทพสุริยะ
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อการโจมตีที่น่าตกใจล้อมกรอบเขาไว้ มู่เฉินก็สูดหายใจลึกสุดปอด จากนั้นฝ่ามือวาดกระบวนท่า เมื่อตราประทับก่อตัวขึ้น ดวงอาทิตย์สีทองก็แผ่ซ่านที่หว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ
ทักษะเทห์สวรรค์ คลื่นหนึ่งตะวัน!
แสงสีทองจำนวนมากยิงออกจากดวงตาของร่างเทพสุริยะ อึดใจฝ่ามือทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกันพร้อมกับแสงสีทองปกคลุมรัศมีในระยะร้อยจั้ง
จังหวะนั้นเองคทาทองคำมืดฟ้ามัวดินก็พุ่งมาถึง
ปัง! ปัง!
แต่เมื่อคทาทองคำนับพันพุ่งเข้ามาในรัศมีแสงสีทอง กลับเกิดการระเบิดเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีทองภายใต้สายตานับไม่ถ้วนทันที
การระเบิดทอดยาวไม่สิ้นสุด ลูกกลมแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ ทุกการโจมตีที่ปล่อยออกมาเข้าใกล้ร่างใหญ่ไม่ได้เลย
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณนี้ มีเพียงร่างเทห์สวรรค์ทองคำที่ยืนนิ่งอยู่ภายใน ไม่ว่าพลังการโจมตีจะทำลายล้างขนาดไหน ก็ไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย
ทั่วบริเวณเงียบกริบในเวลานี้
จอมยุทธ์ชั้นสูงของแดนร้อยสงครามอย่างเฒ่าเร้นกระบี่กับพรรคพวกที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าก็ยิ้มค้างไปเลย
ทั่วหล้าเงียบงัน มีเพียงเสียงระเบิดเป็นชุดที่ดังสนั่นจากคทาทองคำเท่านั้น