หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 753
ระดับนรก
ลาวาสีแดงเดือดปุดภายในภูเขาไฟสีแดง
แผ่อุณหภูมิสูงออกมาจนน่ากลัว เหล่าหน่วยรบกงเวทสวรรค์บนแท่นหินรอบด้านจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจ
ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองไม่ถือว่าสูงในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ แต่นักรบกงเวทสวรรค์ อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ในระดับนี้เลย ต่อให้นักรบขุมพลังจื้อจุนขั้นสามก็ไม่สามารถล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณร้อยปีได้อย่างง่ายดายนัก
ชายหนุ่มคนนี้ที่ประมุขพามาที่นี่ด้วยตัวเองมีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ
สายตาจำนวนมากวูบไหวขณะที่แววเยาะเย้ยในดวงตาลดลง หน่วยรบกงเวทสวรรค์เป็นกองกำลังทรงพลังมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทุกคนที่เข้ามาต่างผ่านการคัดเลือกแบบโหดหิน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวเอง กระทั่งมั่นถัวหลัวที่เป็นประมุขก็ไม่สามารถบีบให้พวกเขายอมรับคนไม่เอาถ่านได้อย่างเต็มใจ
แต่ตอนนี้มู่เฉินใช้พลังของตนบอกให้พวกเขารู้แล้วว่าควรมีทัศนคติอย่างไรกับเขา
“ฮ่าๆ ฝีมือดีใช้ได้” ในหมู่แม่ทัพทั้งสี่ ชายหนุ่มร่างกำยำจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ใจ จากนั้นรอยยิ้มก็ฉาบบนใบหน้า
เขาเป็นแม่ทัพลำดับสองในหมู่แม่ทัพทั้งห้าของหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ชื่อว่าเถี่ยซัน มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุด เมื่อเขาพูดออกมา แม้แต่ปิงซินที่เย็นชาก็ไม่อาจพูดอะไรอีก เพราะพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้นางตะลึงงันไปด้วยเช่นกัน
“พวกเจ้าอย่าดูถูกเขาเชียว เขาเอาชนะฉิงเปยแห่งพิลาลสสวรรค์ในสงครามสำนักได้นะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบาจากด้านข้าง
“โอ้?”
สี่แม่ทัพอึ้งไป พวกเขาเคยได้ยินชื่อของฉิงเปย แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ดูเหมือนว่าในหมู่แม่ทัพรุ่นใหม่แห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในที่สุดก็มีคนมีฝีมือบ้างแล้ว” ปิงซินมองมู่เฉินเอ่ยขึ้น จากคำพูดของนางดูเหมือนจะดูถูกสี่สุดยอดแม่ทัพของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่น้อย
แต่นางก็มีสิทธิ์ที่จะดูหมิ่น เพราะพลังของพวกสูชิงที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามไม่มากพอเมื่อเทียบกับปิงซินที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้าจริงๆ
นั่นเป็นเพราะหน่วยรบกงเวทสวรรค์คือไพ่ตายที่แท้จริงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวจดจ้องที่มู่เฉิน “เจ้าจะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกสามเดือน ถ้าเจ้าต้องการออกไป เจ้าต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงที่ข้าวางไว้ให้ได้ ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านได้ก็อย่าคิดที่จะออกไป ข้าจะส่งคนอื่นเข้าร่วมศึกมังกรหงส์แทน”
“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง?” มู่เฉินอึ้งไป เขามองแม่ทัพทั้งสี่ที่ยืนอยู่รอบด้าน ก็เห็นพวกเขาอยู่ในอาการตะลึงลานไป ก่อนจะมองมาที่เขาด้วยสายตาเห็นใจ
“มันคืออะไรน่ะ?” มู่เฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบกล แต่ก็ทำได้เพียงรั้งตัวเองถามออกไป
“มันเป็นด่านที่ประมุขวางไว้ด้วยตัวเอง พูดโดยทั่วไปก็คือใครก็ตามที่สามารถฝ่าออกไปได้ด้วยตัวเองก็มีสิทธิ์เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพ ทว่าหลายปีผ่านมานี้จำนวนคนที่สามารถฝ่าออกไปได้มีเพียงหยิบมือเดียว” ริมฝีปากสีกุหลาบของปิงซินโค้งขึ้น ขนาดคนนิสัยเย็นชาอย่างนางยังอดไม่ได้ที่จะมีความสุขบนหายนะของคนอื่นในเวลานี้
มุมปากของมู่เฉินกระตุก มันเป็นด่านการคัดเลือกแม่ทัพของหน่วยรบกงเวทสวรรค์เชียวนะ จากการคาดการณ์ของเขา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังยากที่จะฝ่าสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงออกมา แล้วมั่นถัวหลัวใช้สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขแลกกับการออกไปของเขาเนี่ยนะ โหดเกินไปแล้ว…
หากไม่ใช่เพราะเขากับมั่นถัวหลัวไม่มีความแค้นต่อกัน เขาอาจคิดว่ามั่นถัวหลัวจงใจกลั่นแกล้งกัน
“อะไร? ไม่กล้าเหรอ?” ดวงตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองมู่เฉินพลางเอ่ยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ถ้าเจ้าไม่มีแม้กระทั่งความมั่นใจและความกล้า ก็เป็นเรื่องยากที่ข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีโอกาสชนะคู่แข่งขันเหล่านั้นในอนาคต”
มู่เฉินอึ้งไปขณะมองมั่นถัวหลัว เขาเข้าใจชัดเจนถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง นางเคยบอกว่าในโลกนี้อาจมีอัจฉริยะโดดเด่นคนอื่นๆ ได้รับโอกาสใหญ่ในการชำระร่างเทพสุริยะ แต่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากเขาต้องการประสบความสำเร็จ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องเผชิญกับศัตรูที่ได้รับโอกาสแบบเดียวกัน…
มู่เฉินจินตนาการได้ว่าศัตรูเหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด พวกเขาไม่ใช่คู่แข่งที่เขาพบในตอนนี้จะเทียบได้
ดังนั้นภายใต้การจ้องมองด้วยม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ไม่มีพลังในโลกนี้ที่ได้มาโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน หากเขาต้องการครอบครอง เขาก็ต้องจ่ายเป็นการแลกเปลี่ยน
คนทั่วไปได้เห็นเพียงความสำเร็จเจิดจรัสและทะยานขึ้นสูงของเขา แต่ไม่ได้เห็นการฝึกฝนอันขมขื่นที่เขาต้องจ่ายเพื่อความสำเร็จนั่น
เมื่อเถี่ยซัน ปิงซินและแม่ทัพคนอื่นเห็นมู่เฉินยอมตอบตกลง สายตาของพวกเขาก็ประหลาดไป แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับโอนอ่อนมากขึ้น คิดว่าความกล้าหาญที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจ เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่กล้าย่างเท้าเข้าไปในค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง
มั่นถัวหลัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มที่หาดูได้ยากผุดบนใบหน้า “งั้นข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้านะ เหล่าแม่ทัพที่นี่จะให้คำแนะนำเรื่องการฝึกฝนกับเจ้าเอง”
จบคำพูดร่างนางก็วาบแสงหายไป ความเร็วสุดยอดนี้ทำให้มู่เฉินกับเหล่าแม่ทัพมองด้วยความอิจฉา เมื่ออยู่ตรงหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน พวกเขาก็อ่อนหัดราวกับเด็กทารก
เมื่อเห็นมั่นถัวหลัวไปแล้ว มู่เฉินก็เบนสายตามาหาแม่ทัพทั้งสี่ประสานมือคำนับ “รบกวนแม่ทัพทั้งสี่ในอีกสามเดือนข้างหน้าด้วย”
เถี่ยซันหัวเราะพลางโบกมือ แม้เขาเหมือนหอคอยเหล็กแต่ก็ไม่ได้โง่ ฟังจากน้ำเสียงของมั่นถัวหลัวที่พูดกับมู่เฉิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เหมือนแค่ประมุขกับแม่ทัพเลย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำตัวเป็นกันเองกับมู่เฉินมากเกินไป
“เดี๋ยวให้ปิงซินแนะนำเรื่องการเพาะบ่มพลังในบ่อเพลิงข่ายฟ้าให้นะ หากมีปัญหาก็ขอความช่วยเหลือจากพวกเราได้” เถี่ยซันยิ้มให้มู่เฉิน จากนั้นก็เหลือเพียงปิงซินที่ยังยืนอยู่ แม่ทัพทั้งสามกลับคืนสู่แท่นหินรอบด้านเพื่อตรวจตราการฝึกของหน่วยรบกงเวทสวรรค์
ปิงซินมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับประมุข แต่ในเมื่อท่านทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ข้าจะใช้วิธีฝึกเข้มงวดที่สุดกับหน่วยรบกงเวทสวรรค์ให้ก็แล้วกัน”
มู่เฉินยิ้มและพยักหน้า
“ข้าจะเริ่มเพาะบ่มกันยังไงหรือ?” มู่เฉินถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่พูดมากความกับสาวงามเย็นเยือกผู้นี้
“ตอนแรกข้าตั้งใจจะฝึกเจ้าเหมือนนักรบคนอื่นๆ โดยเริ่มฝึกบนแท่นหินพวกนั้น แต่ในเมื่อเจ้ามีความสามารถในการจัดการอสรพิษเพลิงวิญญาณ งั้นข้าจะพาเจ้าไปยังจุดลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ต่อไปเจ้าจะได้ล่าอสรพิษเพลิงวิญญาณดึงเอาแก่นเพลิงวิญญาณเพื่อมาใช้เร่งการฝึกได้” ปิงซินเอ่ย
“นอกจากนี้ภายในบ่อเพลิงข่ายฟ้ามีอุณหภูมิสูงมาก ด้วยขุมพลังของเจ้าที่มี สามารถดำลงไปได้หนึ่งพันจั้งซึ่งถือเป็นขีดจำกัดของเจ้าแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีอสรพิษเพลิงวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่งในส่วนลึกลงไปที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ด้วยพลังในตอนนี้”
“ยังมีตัวที่ทรงพลังมากกว่านี้อีกเหรอ?” มู่เฉินผงะไป บ่อเพลิงข่ายฟ้าไม่ใช่สถานที่สบายเลยจริงๆ
“อสรพิษเพลิงวิญญาณตัวเมื่อครู่อายุประมาณร้อยปีเท่านั้น ยิ่งมันอายุมากเท่าไร ก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น จุดนี้สามารถตัดสินได้จากขนาดของมัน แต่อสรพิษเพลิงวิญญาณที่ทรงพลังมักอยู่ในส่วนลึก ตราบใดที่เจ้าไม่เงอะงะเข้าไปในส่วนลึก ก็น่าจะไม่เจอกับพวกมัน” แม้ปิงซินจะมีนิสัยเย็นชา แต่ก็ให้คำอธิบายอย่างละเอียดไขข้องสงสัยมู่เฉิน
“ยิ่งอสรพิษเพลิงวิญญาณทรงพลัง แก่นเพลิงวิญญาณก็ยิ่งบริสุทธิ์และทรงพลังใช่ไหม?” มู่เฉินเบะปาก ก่อนหน้าเขาชำระแค่แก่นเพลิงวิญญาณอายุร้อยปีไป หากได้แก่นเพลิงวิญญาณอายุมากกว่านี้ ก็คงจะให้ผลดีกว่านั้นสินะ
ปิงซินอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่มู่เฉิน ชายหนุ่มคนนี้อายุนิดเดียวแต่กลับโอหังนัก ใครบ้างที่ไม่อยากได้แก่นเพลิงวิญญาณที่มีอายุเกินห้าร้อยหรือแม้กระทั่งหนึ่งพันปีกันล่ะ? แต่ก็ต้องมีความสามารถนั้นให้ได้ก่อน
มู่เฉินทำได้เพียงยิ้มแห้งเป็นการตอบรับปฏิกิริยาของปิงซิน
“ตามข้ามา ในเมื่อเจ้ามั่นใจนัก งั้นข้าก็จะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ดี” ริมฝีปากสีกุหลาบของปิงซินเผยอขึ้น จากนั้นนางก็ทะยานลงไปยังจุดลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า เมื่อห็นนางนำไปแล้ว มู่เฉินก็รีบตามไปในทันที
ร่างแสงสองร่างพุ่งผ่านหุบเหว เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้บ่อเพลิงข่ายฟ้า อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว มากจนกระทั่งมู่เฉินยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงร่างกายทรงพลังของเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกแอบตกตะลึง นี่ยังไม่ได้เข้าไปในส่วนบ่อเพลิงข่ายฟ้าเลยสักนิดนะ…
ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวเข้าไปยังจุดลึก มู่เฉินก็เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ที่นี่แทบจะเป็นทะเลลาวาใต้พิภพ นอกจากนี้ภูมิประเทศยังสลับซับซ้อนก่อตัวขึ้นจากการละลายของหินหนืดในหุบเหวโดยรอบ เกิดเป็นถ้ำใหญ่ทุกรูปทรง ราวกับเขาวงกตเลยทีเดียว
มู่เฉินตามปิงซินเคลื่อนผ่านถ้ำทั้งหลาย ราวสิบนาทีต่อมาปิงซินก็ชะลอความเร็วลง
มู่เฉินชะเง้อมองจากด้านหลังปิงซินไปข้างหน้า จากนั้นม่านตาก็อดหดเกร็งลงไม่ได้
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นทะเลลาวาสีแดงฉาน แต่ขณะนี้มีอสรพิษเพลิงวิญญาณเต้นระบำไปมาอยู่บนพื้นผิวทะเล ทำให้เกิดเป็นหลุมวนลาวาขนาดใหญ่
เสียงขู่แหลมดังก้องตลอดเวลา
กวาดมองผ่านๆ ก็เห็นอสรพิษเพลิงวิญญาณอย่างน้อยหลายร้อยตัว
แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกขนหัวลุกชันกับจำนวนนั่น
รอยยิ้มแย้มปรากฏบนใบหน้าเย็นชาของปิงซิน นางมองไปที่มู่เฉิน เหยียดแขนทำท่าเชิญพลางเม้มปากยิ้มและพูดขึ้น “ขอต้อนรับสู่บ่อเพลิงข่ายฟ้าระดับนรก”