หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 761
ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง
เหนือบ่อเพลิงข่ายฟ้า
เมื่อร่างของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น สายตานับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปยังเขาพลางหดเกร็งลงเล็กน้อย
ตอนนี้รอบกายของมู่เฉินผันผวนไปด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง ม่านตาสีดำของเขาล้ำลึกราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ความปรวนแปรของคลื่นหลิงอัศจรรย์เปล่งออกมาจากทุกการเคลื่อนไหวของเขา
เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับสามเดือนที่ผ่านมา
ขุมพลังจื้อจุนทั้งเก้าขั้นของมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างแต่ละขั้น ปกติเมื่อใดที่ผู้ฝึกต้องการบรรลุขุมพลังสักขั้น พวกเขาจะต้องแยกออกฝึกฝนอย่างขมขื่นถึงที่สุด ทว่ามู่เฉินกลับสามารถบรรลุได้ภายในไม่กี่เดือน แม้จะมีความช่วยเหลือจากพลังงานพิเศษของบ่อเพลิงข่ายฟ้า แต่ก็ยังอดทำให้ผู้อื่นรู้สึกตกใจไม่ได้
“เขาทำสำเร็จจริงด้วย” ปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นของหน่วยรบกงเวทสวรรค์มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดพวกเขารู้สึกน่าเหลือเชื่อที่มู่เฉินสามารถบรรลุขุมพลังได้ภายในเวลาเพียงสามเดือน
แม้ว่าบ่อเพลิงข่ายฟ้าจะให้ประโยชน์ต่อการเพาะบ่ม แต่ก็ไม่ไวขนาดนี้
บนท้องฟ้าเมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ รอยยิ้มสายหนึ่งก็แย้มบนมุมปาก นางไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร นั่นเพราะคุ้นกับปาฏิหาริย์มากมายที่มู่เฉินสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในดวงตาของมั่นถัวหลัวก็ไม่ปรากฏริ้วคลื่นใดๆ นางสะบัดมือนำทุกคนไปบนแท่นหินที่หน่วยรบกงเวทสวรรค์อยู่ เหล่านักรบโค้งคำนับลงทันที
“คารวะท่านประมุข” หั่วเม่ยเอ๋อโค้งคำนับเช่นกัน
มั่นถัวหลัวโบกมือ แม้จะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาว แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงอาการกระด้างกระเดื่องจากภายนอกที่เห็นนี้ แรงกดดันอันบีบเค้นที่กำจายออกมาจากการเคลื่อนไหวเรียบง่ายของจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนน่ากลัวในสายตาของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนธรรมดานัก
“ฮ่าๆ ครั้งนี้เจ้าพาต้นกล้าชั้นยอดกลับมาแล้วจิ่วโยว”
หั่วเม่ยเอ๋อหัวเราะขณะมองจิ่วโยวที่ยืนด้านหลังมั่นถัวหลัวด้วยน้ำเสียงชดช้อย “ข้าชักรู้สึกสนใจมู่เฉินซะแล้ว เจ้าให้เขามาอยู่หน่วยรบกงเวทสวรรค์ของข้าเถอะ ข้ายอมรับเงื่อนไขได้หมดเลยนะ”
จิ่วโยวมองหั่วเม่ยเอ๋อแล้วก็นึกถึงอดีต แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาฉับพลัน ทว่าก่อนที่จะได้ตอกกลับอะไรออกไป หั่วเม่ยเอ๋อก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับหัวเราะเสียงพลิ้ว “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เต็มใจนะ แต่เจ้าหนุ่มนั่นไม่เลวจริงๆ”
จิ่วโยวกลอกตาใส่ไม่สนใจที่จะคุยด้วย
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมู่เฉินก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “เส้นตายสามเดือนจบลงแล้ว หากเจ้าต้องการเป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์และเข้าร่วมในงานประลองเขตหลงเฟิ่งก็ต้องผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงให้ได้”
ได้ยินชื่อค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง คิ้วของจิ่วโยวก็พันกันยุ่งวูบหนึ่งขณะที่มองมู่เฉินด้วยแววตาเป็นกังวล ชื่อนี้นางคุ้นเคยดี ขณะเดียวกันนางก็รู้ซึ้งถึงพลังของมันดี
“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงทรงพลังจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังผ่านได้แบบยากเย็นเข็ญใจ ดังนั้น…เจ้ายังกล้าที่จะรับหรือไม่?” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินและเอ่ยช้าๆ
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน มู่เฉินที่ยืนบนลาวาก็ยกดวงตาขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเผยบนใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะประสานมือเอ่ยเสียงเรียบ “ตั้งค่ายกลได้เลย ท่านประมุข”
รอยยิ้มของชายหนุ่มดูสงบนิ่งและสบาย ไม่มีความกลัวใดๆ แม้จะรู้ดีถึงอันตรายใหญ่หลวง สภาพจิตใจของเขาดึงดูดจอมยุทธ์ที่นี่ให้รู้สึกชื่นชมขึ้นมาไม่น้อย
การที่ชื่อเสียงของเขาร่ำลือกว้างไกลในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้ในเวลาอันสั้น ชายหนุ่มคนนี้สมกับคำยกย่องแท้จริงแล้ว
แน่นอนว่าก็มีบางคนลอบเบ้ปาก ส่วนใหญ่เป็นนักรบกงเวทสวรรค์ กระทั่งปิงซินกับแม่ทัพคนอื่นก็ไม่มีความเห็นใดๆ ต่อความมั่นใจของมู่เฉิน พวกเขาไม่ได้ดูถูกมู่เฉิน แต่เป็นเพียงความเข้าใจที่มีต่อค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงที่มากกว่าคนอื่นเท่านั้น
ตอนนั้นที่พวกเขาฝ่าค่ายกล ทุกคนประสบกับความล้มเหลวนับไม่ถ้วนก่อนจะทำสำเร็จแบบรากเลือด นอกจากนี้ตอนได้รับบททดสอบพลังของพวกเขายังแข็งแกร่งกว่ามู่เฉินอีกด้วย
พวกเขาผ่านความล้มเหลวหลายครั้ง การอยากให้มู่เฉินผ่านไปได้ในครั้งเดียวเป็นเรื่องผิดแผกเกินไปหน่อย
มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับสายตารอบด้าน นางพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจได้แล้ว “ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะถอย งั้นก็ตามความขอเลย เมื่อใดที่เจ้าผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นแม่ทัพลำดับหกของหน่วยรบกงเวทสวรรค์”
เมื่อคำพูดประโยคนี้เปล่งออกจากปากนาง ก็สร้างเสียงฮือฮาขึ้นทันที หน่วยรบกงเวทสวรรค์เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ขึ้นตรงต่อการบัญชาการของประมุข นับว่าเป็นหนึ่งในไพ่ตายของสำนัก แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการก็เข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้ ไม่คิดว่าประมุขจะให้มู่เฉินขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพลำดับหก
แสงวูบไหวในดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการ ก่อนจะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉาและสงสัยว่าทำไมประมุขถึงปฏิบัติต่อมู่เฉินดีมากนักในใจ ก่อนหน้านางก็ปกป้องเขาจากตำหนักสุดนภา ตอนนี้ยังตั้งใจให้เขาขึ้นเป็นฐานะแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์อีก…
หั่วเม่ยเอ๋อกับคนอื่นประหลาดใจไปเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของมั่นถัวหลัว เพราะหากมู่เฉินสามารถผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงไปได้จริง เขาก็จะมีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์
จิ่วโยวไม่ได้พูดอะไร เพราะแม้ว่ามู่เฉินจะเป็นแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์ เขาก็ยังสามารถควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์ ดังนั้นนางจึงหวังให้มู่เฉินประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรหน่วยรบกงเวทสวรรค์ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ
เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบก็โบกมือ ทุกคนรู้สึกได้ถึงคลื่นน่าสะพรึงกระเพื่อมออกมาจากส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า จากนั้นพวกเขาก็เห็นทะเลลาวาในบ่อเพลิงข่ายฟ้ายกตัวสูงขึ้นด้วยความเร็วน่าตกใจ
ครืน!
ลาวากลิ้งตัวราวกับคลื่นนับหมื่นถั่งโถมอยู่ในหุบเหว แม้แต่ภูเขาไฟทั้งลูกยังสั่นสะเทือนจากแรงมหาศาลนี้
ปัง! ปัง!
ขณะที่บ่อเพลิงข่ายฟ้ากำลังยกตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสาลาวาสูงพันจ้งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นแม่น้ำลาวาขนาดใหญ่
แม่น้ำเหล่านั้นม้วนตัวแล้วแหวกออกจากกัน ก่อตัวเป็นทะเลลาวาบนท้องฟ้า ลวดลายลาวาสีแดงก่ำเพิ่มขึ้นในทะเลอย่างต่อเนื่อง
โฮก!
ลวดลายเหล่านี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เหมือนจะมีเสียงมังกรคำรามรุนแรงออกมา แสงสีแดงลุกโชนขึ้น มังกรยักษ์เก้าตัวที่ไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดก็ก่อตัวขึ้น
มังกรทั้งเก้าตัวมีสีแดงขดตัวอยู่ในทะเลลาวาพร้อมกับลาวาไหลบนร่างใหญ่โต แรงกดดันบีบคั้นน่าสะพรึงแผ่ออกมาจากร่างของพวกมัน ทำให้สีหน้าจอมยุทธ์จำนวนมากเปลี่ยนไป
เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่ามังกรพวกนี้ทรงพลังมากเพียงใด นอกจากนี้จุดสำคัญที่สุดก็คือมังกรเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพลวงตา มีแรงกดดันแท้จริงของเผ่ามังกรแผ่ออกมาจากร่างพวกมัน
“มังกรพวกนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ละตัวเกิดจากหยดเลือดมังกรไฟโบราณที่ไหลอยู่ในส่วนลึกของบ่อเพลิงข่ายฟ้า ตราบใดที่ลาวาไม่สิ้น มันก็จะไม่ตาย” ดวงตาสีทองของมั่นถัวหลัวมองมู่เฉิน เสียงอ่อนโยนดังก้องด้วยความเรียบเฉยบนท้องฟ้า
มู่เฉินเผยสายตาเคร่งเครียด มังกรลาวายักษ์ทุกตัวมีความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงเล็ดลอดออกมา ด้วยจำนวนถึงเก้าตัว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ยังไม่กล้าปะทะพวกมันซึ่งหน้า พลังดังกล่าวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นบททดสอบของแม่ทัพหน่วยรบกงเวทสวรรค์
“ค่ายกลจัดเตรียมแล้ว ถ้าเจ้าเตรียมตัวพร้อมก็ก้าวเข้าไปได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ก็ต้องพึ่งพาพลังของตน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเจ้าได้ หลายปีที่ผ่านมาจำนวนคนตายในนั้นไม่เคยขาด”
มั่นถัวหลัวพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ดังนั้นตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสถอย”
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวยังไม่อาจทำให้เขารู้สึกกลัวได้หรอก
แววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกล้า เขาไม่พูดอะไรอีกตบฝ่าเท้าเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
ขณะที่เข้าใกล้ ลมแผดเผาก็พัดปะทะใบหน้า ราวกับว่าต้องการให้เขามอดไหม้ อุณหภูมินี้เพียงพอที่จะหลอมทองคำได้ จากจุดนี้บอกได้ว่าค่ายกลนี้อันตรายเพียงใด
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ลดความเร็วลง คลื่นหลิงมหาศาลพวยพุ่งออกมาปกคลุมร่าง ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในทะเลลาวาที่กำจายอุณหภูมิสูงน่ากลัวออกมา
ตู้ม!
ทันทีที่มู่เฉินพุ่งเข้าไปในค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง อุณหภูมิที่น่าสะพรึงก็กวาดออก คลื่นเชี่ยวกรากโถมเข้าใส่ ราวกับภูเขาที่ต้องการบดขยี้เขาให้เป็นผุยผง
นี่เป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึง แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขากระทืบฝ่าเท้า แสงสีทองพวยพุ่งในดวงตาขณะที่ร่างเทพสุริยะถูกเรียกออกมาในทันที
ตึง!
คลื่นกระแทกเข้ากับร่างเทพสุริยะก่อนที่ลาวาจะไหลลงมาจากร่างทองคำ ทว่าอุณหภูมินี้กลับทำให้ร่างเทพสุริยะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
มู่เฉินปรากฏตัวอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะที่ยืนอยู่บนทะเลสีแดงเพลิง สายตาคมกริบของเขามองไปที่ทั้งแปดทิศของค่ายกลที่มีมังกรแปดตัวมหึมาขดตัวอยู่ ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันจ้องมองร่างสีทองเขม็ง ความผันผวนที่แผ่ออกมาจากร่างพวกมันก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“ค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิง… ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้าทรงพลังขนาดไหนกัน!”
มู่เฉินสูดหายใจเอาอากาศร้อนระอุเข้าไปลึก สายตาคมกริบราวกับใบมีด อึดใจเขาก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกำมือเรียกเสาปีศาจราชันพระสุเมรุออกมาในพริบตา เสาปีศาจกวาดลง ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ปกคลุมมังกรลาวาตัวหนึ่ง
เผชิญกับค่ายกลทรงพลัง มู่เฉินไม่รอสังเกตการณ์อะไรทั้งนั้น กลับปล่อยการโจมตีก่อน
ภาพนี้ทำเอาหนังตาของจอมยุทธ์หลายคนกระตุกขึ้นเลยทีเดียว