หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 769
หญิงสาวและชายหนุ่ม
“เจ้ามีกลิ่นเลือดมังกรไฟโบราณอยู่กับตัว เอามาชดเชยให้ข้าห้าหยด”
เสียงใสกังวานของหญิงสาวสะท้อนไปมาในทะเลสาบ ส่วนมู่เฉินก็อึ้งไปเมื่อมองมือขาวละเอียดที่ยื่นออกมาหา จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็คืนสติส่งยิ้มแห้ง “ข้าไม่มี”
ล้อเล่นหรือไง? เลือดมังกรไฟโบราณเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากการทุ่มสุดตัว มิหนำซ้ำยังได้มาเก้าหยดเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ให้จิ่วโยวไปสี่หยด เนื่องจากสิ่งนี้เป็นผลดีต่อพลังยุทธ์ของนางมหาศาล ดังนั้นตอนนี้มู่เฉินจึงมีแค่ห้าหยดอยู่กับตัว แต่หญิงสาวที่ดูเยาว์วัยกลับมีความอยากอาหารโหดเหี้ยมนัก
“ไม่มีเหรอ?” หญิงสาวยิ้มบางให้มู่เฉินม่านตาหินแกรนิตเนื้อแก้วเปล่งประกาย ความงามชวนตะลึงทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังหม่นแสงลง
มู่เฉินมองไปที่ความงาม จิตใจก็ว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีเสียงหนึ่งพล่านในหัวใจสั่งให้เขาหยิบเลือดมังกรไฟโบราณออกมาเอง
ครืน!
แต่ความว่างเปล่าคงอยู่วูบเดียว ก่อนที่สายฟ้าฤทัยปีศาจดำจะดังขึ้นในหัวใจเขา ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ทันใดนั้นหัวใจเขาก็หวั่นกลัวขึ้น หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ตามธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม
วาบ!
เมื่อมู่เฉินได้สติ ก็รีบผงะถอยเกือบจะในทันที ทิ้งไว้เพียงภาพเงาบนท้องฟ้าขณะที่เขาพุ่งตรงไปที่ผืนป่าราวกับสายฟ้าฟาด
“เสี่ยวหลิน” เมื่อเห็นว่าเสน่ห์ของตนใช้ไม่ได้ผลกับมู่เฉิน ก็เกิดริ้วความประหลาดใจบนใบหน้าหญิงสาว ก่อนที่นางจะเหยียดนิ้วกระดิกเบาๆ
เมื่อชายชุดดำได้ยินเสียงนั่น เขาก็พยักหน้าอย่างจนใจวาบหายไป
ขณะที่เขาหายตัว มู่เฉินก็ทะยานเข้าไปในป่า แต่ครู่เดียวมู่เฉินก็กลับมาปรากฏตัวตรงที่เดิมที่เขาเคยอยู่แล้วอีกครั้ง
“สหาย เจ้าล้มเลิกแผนหนีซะเถอะ นี่เป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าเจ้าทำให้พี่สาวข้าเกรี้ยวกราด” ชายหนุ่มชุดดำปรากฏตัวข้างมู่เฉินพลางยักไหล่
สายตาจ้องมองชายหนุ่มชุดดำลึกลับ มู่เฉินก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นในใจครู่ใหญ่ พลังที่ชายคนนี้แสดงออกมาน่ากลัวเกินไปแล้ว ความแตกต่างด้านพลังของพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ทว่าในเมื่อไม่อาจหลบหนีไปได้ มู่เฉินก็สงบใจลง เขาเบนสายตาไปยังหญิงสาวประสานมือขึ้น “ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่างก็เลยมาที่นี่ ข้าไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย…”
“ข้ารู้” หญิงสาวลูบงูเจ็ดสีบนบ่าเบาๆ เอ่ยต่อ “ไม่งั้นข้าไม่ขอแค่เลือดมังกรไฟโบราณของเจ้าหรอก”
“เอาอะไรมาคิด?” มู่เฉินขบฟัน แค่มองไปโดยไม่ตั้งใจก็ต้องแลกกับเลือดมังกรไฟโบราณห้าหยด มากเกินไปหน่อยมั้ง!
“จากความจริงที่เจ้าไม่สามารถหนีไปได้ไง” หญิงสาวยิ้ม
มุมปากของมู่เฉินกระตุก สุดท้ายเขาก็ต้องยอม ทว่าเขาก็เป็นคนเถรตรงจึงหยิบขวดหยกขว้างไปทางหญิงสาว
หญิงสาวไม่ได้ยื่นมือออกมารับ งูเจ็ดสีที่พันอยู่รอบบ่านางพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบ มันระเบิดขวดหยกแตกด้วยการกวาดหางครั้งเดียว เลือดมังกรไฟโบราณห้าหยดลอยออกมา จากนั้นเจ้างูก็อ้าปากกว้างเขมือบทั้งหมดในคำเดียว
มู่เฉินอึ้งไปกับภาพนี้ จากนั้นก็มองงูเจ็ดสีด้วยสายตาพิลึกกึกกือ เขามองพลาดก่อนหน้า ปรากฏว่างูเจ็ดสีตัวนี้น่าสะพรึงใช่ย่อย ภายในเลือดมังกรไฟโบราณมีจิตของมังกรไฟโบราณอยู่ แต่ตอนนี้กลับถูกกลืนไปในคำเดียว แล้วดูท่าทางระริกระรี้ของมันตอนนี้สิ เห็นชัดว่าไม่มีผลอะไรกับมันเลย
“แม้เสี่ยวไฉ่จะไม่ใช่เทพอสูรในมหาพันภพ แต่ถ้ามันวิวัฒนาการสำเร็จ ก็มีพลังไม่ด้อยกว่าเทพอสูรชั้นยอด” หญิงสาวลูบร่างเรียบลื่นของเจ้างูเจ็ดสีขณะเอ่ยขึ้น
มู่เฉินประหลาดใจไป งูเจ็ดสีตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในมหาพันภพงั้นหรือ? ก็หมายความว่ามันมาจากพิภพเขตล่างน่ะสิ? งั้นสองคนตรงหน้าเขาก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นเดียวกันใช่ไหม?
หลังจากกินเลือดมังกรไฟโบราณเรียบร้อย งูเจ็ดสีก็รีบมุดเข้าไปในแขนเสื้อของหญิงสาวเข้าสู่สภาวะจำศีลทันที ดูเหมือนต้องการชำระพลังงาน เมื่อเห็นดังนี้หญิงสาวก็คลี่ยิ้มหวานหยดชวนตะลึงออกมา
“ดูเหมือนเลือดมังกรไฟโบราณจะช่วยเสี่ยวไฉ่ได้เยอะเลย” หญิงสาวกลั้วหัวเราะขณะมองมู่เฉิน “ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะ”
มู่เฉินเบะปากไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้อีก การเสียเลือดมังกรไฟโบราณห้าหยดช่วงกลางดึกแบบนี้เป็นเรื่องปวดหัวใจสำหรับเขานัก เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ตอนนี้ข้าไปได้หรือยัง?”
สองคนตรงหน้านี้ลึกลับเกินไปแล้ว พวกเขาจะต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาแน่ ดังนั้นเขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนประเภทนี้มาก เวลาเดินทางควรจะระวังตัวให้มากเข้าไว้
“ฮ่าๆ สหายอย่าโกรธไปเลย ในเมื่อเราเจอกันก็หมายความว่ามีชะตาร่วมกัน ในเมื่อเจ้าให้อาหารกับเสี่ยวไฉ่ พวกข้าก็จะปฏิบัติกับเจ้าดีๆ เช่นกัน” ชายหนุ่มชุดดำยิ้มตาหยีโอบบ่ามู่เฉินทำท่าว่าสนิทสนมกันมาก
พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็อยากกระอักเลือด อะไรเรียกเขาให้อาหารกับงูตัวนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าบังคับ ข้าจะเสียเลือดมังกรไฟโบราณไว้ที่นี่ได้อย่างไร!
นั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะใช้ชำระพลังกายนะ!
“ไม่ต้อง” มู่เฉินปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว แต่เขาดูถูกความเป็นกันเองของชายหนุ่มชุดดำมากเกินไป อีกฝ่ายลากเขาโดยไม่สนใจ ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมีเนื้อย่างปักบนกองไฟ น้ำมันสีทองหยดลงบนกองไฟเกิดประกายไฟออกมา
“มากินกัน!”
ก่อนที่มู่เฉินจะปฏิเสธ ชายหนุ่มชุดดำก็ยัดเนื้อย่างใส่มือมู่เฉินและเริ่มกินอย่างหิวโหย ความรวดเร็วนั้นทำให้มู่เฉินอึ้งไปขณะมองดู ตอนกลางดึกแบบนี้เขาดันมาจ๊ะเอ๋กับคนประหลาดแบบไหนเนี่ย?
มู่เฉินไร้ซึ่งคำพูดพลางเหม่อมองบนท้องฟ้า จากนั้นไม่นานเขาก็ไม่อยากคิดวุ่นวาย หากอีกฝ่ายต้องการจัดการเขา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีสกปรก ดังนั้นเขาจึงเริ่มกินโดยไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน
ชายหนุ่มสองคนกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย หญิงสาวก็นั่งข้างๆ พร้อมกับมือสองเท้าแก้ม ม่านตาสีดำสนิทราวกับหินแกรนิตเนื้อแก้วจ้องมองทั้งสองเงียบๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้า ข้างกองไฟก็เละเทะอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินพิงต้นไม้ลูบท้อง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้กินเยอะขนาดนี้ เมื่อผู้ฝึกเพาะบ่มพลังจนสูงในระดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะงดเว้นอาหารไปบ้าง
“ฮ่าๆ เจ้าตรงไปตรงมาดี ข้ากู่หลิน นี่คือพี่สาวข้า…” ชายชุดดำปาดริมฝีปากมองมู่เฉิน เขารู้สึกพอใจมากจึงเอ่ยแนะนำตัวขึ้น
“ไฉ่เซียว” นางเหลือบมองกู่หลินก็เอ่ยขึ้น
มู่เฉินกลอกตา คิดชื่อปลอมยังไม่นัดแนะกันอีก เขาถอนหายใจเอ่ยตอบ “ข้าชื่อมู่เฉิน ตอนนี้กำลังเตรียมตัวมุ่งหน้าไปที่เขตหลงเฟิ่ง”
“เขตหลงเฟิ่งเหรอ? ข้าได้ยินชื่อมาหลายครั้งแล้วในช่วงนี้” กู่หลินเกาหัวเอ่ยด้วยความฉงนสนเท่ห์
“พวกเจ้าไม่ได้มาจากภูมิภาคทางเหนือเหรอ?” มู่เฉินอึ้งไป หากเป็นจอมยุทธ์จากภูมิภาคทางเหนือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับเขตหลงเฟิ่งเลย
“อืม พวกข้าไม่ใช่คนทวีปเทียนหลัวด้วยซ้ำ เรามาที่นี่เพราะมีภารกิจน่ะ” กู่หลินยิ้ม
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองกู่หลินครู่ใหญ่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “เจ้าฝึกวรยุทธมากี่ปีแล้ว?”
แม้กู่หลินจะดูไม่แก่กว่าเขามากนัก แต่กลับมีพลังน่ากลัวจนทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าตนอ่อนด้อย ถ้าอายุของกู่หลินตรงกับรูปลักษณ์ภายนอก เขาคงคิดอยากเอาหัวชนผนังตายไปซะเลย
พอได้ยินคำถาม กู่หลินก็ยิ้มฝืดก่อนจะเอ่ยเบาๆ “อย่าเทียบกับข้าเลย… ข้าฝึกยุทธ์มานานกว่าเจ้ามาก”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็โล่งใจ ยังดี หากรูปลักษณ์ของกู่หลินตรงกับอายุจริง ก็นับว่าเป็นพวกสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว
จากนั้นมู่เฉินก็เบนสายตาไปยังหญิงสาวด้วยสายตาที่แปลกไป นางน่าจะเป็นพี่สาวของกู่หลิน ในเมื่อกู่หลินฝึกยุทธ์มานานหลายปี ดังนั้นอายุของนางก็น่าจะ…
เมื่อคิดว่าอายุจริงของหญิงสาวมากกว่ารูปลักษณ์ที่ปรากฏหลายขุม มู่เฉินก็รู้สึกขนลุกซู่
เนื่องจากไฉ่เซียวสัมผัสได้ถึงความคิดเบื้องหลังสายตานั่น ก็อดไม่ได้ที่จะมุ่นคิ้วพลางขบฟัน “ข้าไม่ใช่แม่มดแก่สักหน่อย!”
กู่หลินหัวเราะอยู่ด้านข้างนาง ก่อนจะเคลื่อนมาใกล้มู่เฉิน “พี่สาวข้ามีร่างกายประหลาดที่มักจะเข้าสู่สภาวะนิทรา ดังนั้นนางจึงมีอายุเท่ากับรูปลักษณ์ที่ปรากฏ”
มู่เฉินยิ้มฝืด แม้เขาจะสงสัยว่าทำไมนางถึงมีร่างกายผิดปกติเช่นนี้ แต่เนื่องจากเพิ่งรู้จักกัน ถ้าเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวคงไร้มารยาทไปหน่อย
ไฉ่เซียวมองมู่เฉินก็ถามขึ้น “ว่ากันว่ามีเลือดของมังกรแท้จริงในเขตหลงเฟิ่งใช่ไหม?”
พอได้ยินคำถามของนาง มู่เฉินก็เข้าใจในทันทีว่าทั้งสองไม่มีความรู้เกี่ยวกับเขตหลงเฟิ่งเลย ดังนั้นเขาจึงบอกข้อมูลเกี่ยวกับเขตนี้ตามที่รู้ให้ทั้งสองทราบ
“สรุปก็คือมีเลือดมังกรแท้จริงอยู่” ได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ม่านตาของไฉ่เซียวก็เปล่งประกาย
พอเห็นปฏิกิริยาของนาง หัวใจของกู่หลินก็กระตุกพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พี่ ครั้งนี้เราไม่ได้มาเพื่อเขตหลงเฟิ่งนะ เรายังทำภารกิจที่ท่านพ่อมอบหมายไม่สำเร็จเลย”
“งั้นเจ้าก็ไปทำภารกิจ ส่วนข้าจะไปที่เขตหลงเฟิ่ง ถ้าข้าได้เลือดมังกรแท้จริงมา เสี่ยวไฉ่จะเข้าสู่วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์ ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าสู่สภาวะนิทราอีก” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงเรียบ
“อ้า?!” กู่หลินร้องลั่น “เจ้าจะไปที่นั่นคนเดียวเหรอ?! ไม่ได้หรอก ท่านพ่อบอกว่าเจ้าไม่สามารถไปไหนตามลำพังได้นะ! ถ้าเขาจับได้…”
“เขาจับไม่ได้หรอก ถ้าเจ้าไม่พูดถึง” ไฉ่เซียวยิ้มบางให้กู่หลินก่อนจะยกหมัดขึ้นใส่ “เจ้ารู้ผลในการทรยศข้าสินะ?”
“พี่ อย่าทำแบบนี้สิ!” กู่หลินครางเสียงเศร้า จากนั้นก็ถลึงตาใส่มู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ถ้าเขารู้ก่อนขะไม่ชวนมู่เฉินมากินข้าวด้วยหรอก
มู่เฉินไม่ใส่ใจกับบทสนทนาของสองพี่น้อง เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จากนั้นก็ถูจมูกเตรียมตัวจากไป เขารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“เฮ้”
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากบอกลา ไฉ่เซียวก็มองมาด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่ห์พลางคลี่ยิ้ม “ถ้างั้นข้าต้องรบกวนเจ้าให้พาข้าไปยังเขตหลงเฟิ่งด้วยแล้ว”
มู่เฉินตัวแข็งค้างทันที เขาค่อยๆ มองกู่หลินที่อยู่ใกล้ๆ ที่กำลังพ่นไฟออกจากตา ในที่สุดเขาก็เข้าใจในความหมายของการยกหินขึ้นทับเท้าตัวเองแล้ว