หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 857 เรียกหาผู้ช่วยเหลือ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 857 เรียกหาผู้ช่วยเหลือ
บนยอดเขาโดดเดี่ยว
เมื่อมู่เฉิน จิ่วโยวและเสี่ยยิงนำกำลังพลพลิ้วตัวลงมาก็เห็นเลี่ยซัน หงหยา หลิงเจี้ยนและหน่วยรบมารออยู่แล้ว
“ครั้งนี้เดือดร้อนพวกเจ้าสามคนจริงๆ”
ทั้งสามประสานมือขอบคุณสามผู้บัญชาการที่นำกำลังมาช่วยเหลืออย่างซาบซึ้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะสามผู้บัญชาการมาถึงทันเวลาละก็ คงเป็นพวกเขาเองที่โดนไล่ล่า
เลี่ยซันเปิดปากหัวเราะ “ในฐานะสมาชิกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเรามีหน้าที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องเป็นผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาการจิ่วโยวสิที่ใจกว้างมาก พวกเจ้าสามารถปล่อยวางเรื่องบาดหมางในอดีตเข้าช่วยเหลือหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตในครั้งนี้”
ขณะที่พูดเลี่ยซันก็มองไปยังเสี่ยยิงที่มีท่าทางอึดอัด อีกฝ่ายมีท่าทียโสมากในสำนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความชื่นชอบเกี่ยวกับเสี่ยยิงเหมือนกัน ดังนั้นคำพูดที่ซัดออกไปก็ราวกับหนามแหลมคมเลยทีเดียว
แต่เสี่ยยิงก็รู้สึกขอบคุณในใจที่ได้รับการช่วยเหลือจากมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปกับคำพูดของเลี่ยซันมากนัก เพียงแค่มองไปทางมู่เฉินและจิ่วโยวพลางประสานมือคำนับ “ข้าจะตอบแทนบุญคุณนี้แน่นอน”
บางทีนี่อาจเกิดจากความรู้สึก ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงความจริงใจบนใบหน้าของเสี่ยยิงที่ดูเย็นชามาตลอดในอดีต เมื่อเห็นการแสดงออกแบบนี้ แม้แต่เลี่ยซันยังรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันและยิ้ม แม้ว่าพวกเขาจะเคืองกับแผนของเสี่ยยิงที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็สามารถชั่งน้ำหนักในสถานการณ์ได้ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้เร่งรุดมาทันทีหลังจากได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ
และดูเหมือนการช่วยเหลือครั้งนี้ทำให้เสี่ยยิงยอมอ่อนลงหลายส่วน ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด แม้ว่ามู่เฉินกับจิ่วโยวจะไม่กลัวเสี่ยยิง แต่ถ้าไม่มีคนมาขัดแข้งขัดขาอีก ก็ขจัดปัญหาที่ไม่จำเป็นหลายอย่างเลยทีเดียว
“หลังจากเหตุการณ์วันนี้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการมู่คงจะล่ำลือไปทั่วสงครามล่า วิญญาณสงครามไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ธรรมดาจะสามารถกลั่นได้” หลิงเจี้ยนยิ้มให้มู่เฉิน ในสายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้
เลี่ยซันก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ในบรรดาขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้”
“มีจอมยุทธ์กองทัพอื่นที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วยรึ?” สายตามู่เฉินขยับ จากคำพูดของเลี่ยซันหมายความว่ามีจอมยุทธ์ขั้วอำนาจอื่นอีกที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
“ที่นี่ไม่ได้ขาดแคลนอัจฉริยะ ดังนั้นจึงมีคนที่มีความสามารถศาสตร์นี้อยู่ คนเหล่านี้เป็นเป้าหมายในการรวบรวมของขั้วอำนาจชั้นสูงด้วยน่ะ”
เลี่ยซันพยักหน้า “จากข้อมูลบางส่วนที่ข้าได้รับมา มีจอมยุทธ์ประมาณห้าคนที่ประสบความสำเร็จในการกลั่นวิญญาณสงคราม แต่อัจฉริยะศาสตร์นี้ไม่เหมือนกับฟังยี่ เนื่องจากความสำคัญของพวกเขา หลายขั้วอำนาจจึงปกปิดข้อมูลแบบลับสุดยอด ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนอื่นจะรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของพวกเขา ขั้วอำนาจต่างๆ ก็จะไม่เปิดเผยด้วยเช่นกัน นั่นเพราะอาจจะถูกลอบสังหารได้…”
มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่ฟังยี่รู้ว่าเขาสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ฟังยี่ก็ใช้กลยุทธ์ทั้งหมดเพื่อที่จะฆ่าเขา เป็นเพราะฟังยี่รู้ว่าจั้นเจิ้นซืออันตรายเช่นใด
แน่นอนว่าจากทฤษฎีแล้วจอมยุทธ์ที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้จะมีคุณสมบัติในการเป็นจั้นเจิ้นซือ… แม้ว่าโอกาสจะมีแค่หนึ่งในหมื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากประสบความสำเร็จ? นั่นจะต้องเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ต่อกองทัพที่มีจอมยุทธ์ชั้นยอดมากมายแน่นอน
ดังนั้นมู่เฉินจึงเข้าใจตระหนักได้ถึงเหตุผลของขั้วอำนาจต่างๆ ที่ปกปิดอัจฉริยะศาสตร์นี้
“จอมยุทธ์ทั้งห้ามาจากขั้วอำนาจใดบ้าง?” มู่เฉินถามหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาต้องเข้าใจข้อมูลของคู่แข่งให้มาก นั่นเพราะในอนาคตเขาอาจจะต้องปะทะกับจอมยุทธ์ศาสตร์นี้
“หมู่ตึกเทวะ จวนยมโลก ตำหนักสุดนภา แดนปีศาจและยอดเขาหมื่นเทพ…” เลี่ยซันยักไหล่ขณะที่พูดอย่างช่วยไม่ได้ “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เคยพยายามสรรหาอัจฉริยะศาสตร์นี้ แต่เนื่องจากความจริงที่ประมุขอยู่ในห้วงนิทรามาตลอด จึงไม่ได้คืบหน้ามากนัก… ดังนั้นจึงไม่มีอัจฉริยะศาสตร์นี้สักคนเดียวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์”
ขณะที่พูดเลี่ยซันก็จ้องมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “แต่ดีที่ตอนนี้มีเจ้าเข้ามา ทำให้อาณาเขตของเรามีอัจฉริยะศาสตร์นี้ซะที”
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขารู้ว่าไม่ใช่มั่นถัวหลัวไม่ต้องการที่จะใส่ใจ แต่การที่นางอยู่ในห้วงนิทราก็เพื่อระงับคำสาปที่มีในร่างกาย จึงไม่มีเวลาเหลือพอที่จะจัดการเรื่องราวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“มีข่าวเกี่ยวกับอัฉริยะรัศมีจั้นยี่ของหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาไหม?” มู่เฉินคิดก่อนที่จะถาม เขามีหนี้แค้นกับสองขั้วอำนาจนี้ ดังนั้นเขาต้องให้ความสนใจกับคนพวกนี้เป็นพิเศษ
เลี่ยซันลูบคางพลางตอบคำถาม “สำหรับหมู่ตึกเทวะดูเหมือนจะเป็นหญิงสาว ส่วนตำหนักสุดนภาเหมือนจะเป็นพวกบ้าน่ะ…”
มู่เฉินอึ้งไปขณะมองไปที่เลี่ยซัน “ไม่มีอะไรอีกแล้วเหรอ?”
เลี่ยซันแบมือทั้งสองข้างพูดว่า “ไม่มีแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ถูกซ่อนไว้มิดชิด ดังนั้นแต่ละคนจะไม่เป็นที่รู้จักจนกว่าจะแสดงตัว”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ข้อมูลมีก็เหมือนไม่มี แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้มู่เฉินก็ทิ้งข้อสงสัยเอาไว้ในใจไปก่อน รู้เพียงว่าพวกเขามีจริงก็พอ
“ในเมื่อปัญหาแก้ไขเรียบร้อย พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจต่อเถอะ เวลาทุกวินาทีมีค่าเราต้องค้นหาซากอารยธรรมโบราณเพื่อกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วต่อ” เลี่ยซันปรบมือให้สัญญาณ จากนั้นก็เตรียมนำหน่วยรบออกไปเป็นคนแรก
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว มู่เฉินก็เงียบไปก่อนที่จะมองผู้บัญชาการทั้งสี่ตรงหน้าพร้อมกับยิ้ม “ข้ามีข้อเสนอ เราสามารถช่วยกันค้นหาซากอารยธรรมโบราณ ด้วยวิธีนี้เราจะป้องกันซึ่งกันและกัน เพื่อไม่ให้ปัญหาอย่างวันนี้เกิดขึ้นอีก”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีผู้บัญชาการสี่คนมารวมตัวกัน นี่เป็นผู้ช่วยเหลือที่ได้มาเปล่าๆ หากเขาสามารถรวบรวมหน่วยรบทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อีกหลายส่วนแน่นอน
เมื่อได้ยินประโยคของมู่เฉิน ผู้บัญชาการทั้งสี่ก็อึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “แม้ว่าเราจะมีพลังเพิ่มขึ้นถ้ารวมตัวกัน แต่ก็ทำให้ความเร็วลดลง ผลกำไรไม่ได้ชดเชยกับสิ่งสูญเสีย”
พวกเขาก็เคยรวมตัวกัน แต่ซากอารยธรรมช่างหายากหายเย็นในสมรภูมิหยุ่นลั้ว ที่ต้องแยกกันก็เพื่อประสิทธิภาพในการค้นหาที่ดี หากรวมกันอาจจะล้มเหลวหมู่ก็เป็นได้
มู่เฉินยิ้มพลางถามตรงๆ “ตอนนี้พวกเจ้ารวบรวมเม็ดยาหยุ่นลั้วได้เท่าไรแล้ว?”
“พวกข้าพบซากอารยธรรมโบราณระดับสามสองแห่ง กลั่นเม็ดยาออกมาได้สามร้อยเม็ด” เสี่ยยิงไม่รู้ว่ามู่เฉินต้องการสื่อถึงอะไร แต่ก็บอกรายละเอียดออกมาก่อน
“พวกข้ามีสองร้อยกว่าเม็ดเท่านั้น” หลิงเจี้ยนเอ่ยเป็นคนต่อมาอย่างช่วยไม่ได้
“สองร้อยกว่าเม็ดเช่นกัน” หงหยายิ้มบาง
เลี่ยซันจับตามองทั้งสาม ก่อนที่จะยิ้มและพูดด้วยเสียงภาคภูมิใจ “ดูเหมือนพวกข้าจะโชคดีกว่านะ มีห้าร้อยเม็ดในมือ”
เมื่อทั้งสามได้ยินก็อดอุทานไม่ได้ ขณะที่มองเลี่ยซันด้วยความอิจฉา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นหาซากอารยธรรมโบราณในสมรภูมิหยุ่นลั้ว มิหนำซ้ำยังต้องระวังพวกกองทัพอื่นๆ มาตลบหลังอีก
มู่เฉินมองเลี่ยซันที่ยืดอกอย่างภาคภูมิก็อดยิ้มไม่ได้ “พวกข้ากลั่นเม็ดยาได้พันสองร้อยเม็ด”
เสียงหัวเราะของเลี่ยซันถึงกับชะงักทันที คนอื่นก็จ้องมู่เฉินแบบงงเป็นไก่ตาแตก เม็ดยาหยุ่นลั้วพันสองร้อยเม็ดเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับพวกเขาในตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องค้นซากอารยธรรมระดับสามเจ็ดถึงแปดแห่งเชียวนะ ก่อนจะกลั่นเม็ดยาจำนวนเท่านี้ออกมาได้ หรือว่าพวกมู่เฉินแค่เดินๆ ไปก็เจอในซากอารยธรรมเลย?
มู่เฉินโบกมือ เม็ดยาหยุ่นลั้วก็กวาดออกมาราวกับสายธารหมุนไปมารอบตัว เขามองผู้บัญชาการทั้งสี่ที่ตาโตเท่าไข่ห่านพูดต่อว่า “ส่วนหนึ่งมาจากสูป้าและที่เหลือพวกข้ากลั่นมาได้เองทั้งหมด”
“พวกเจ้าเจอซากอารยธรรมกี่แห่ง?!” เลี่ยซันพูดด้วยเสียงไม่อยากจะเชื่อ เหตุผลที่เขามีเม็ดยาถึงห้าร้อยเม็ดเพราะมีพวกงี่เง่าสองกลุ่มคิดจะปล้นเขา ก็เลยถูกปล้นเสียเอง มิฉะนั้นก็คงรวบรวมได้สามร้อยเม็ดเท่านั้น
“รวมถึงพวกที่ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นซากอารยธรรมระดับสาม ก็ประมาณหกเจ็ดแห่ง” มู่เฉินคำนวนจำนวนออกมาอย่างคร่าวๆ
ผู้บัญชาการที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตากันขณะที่จ้องมองมู่เฉินอย่างแปลกพิลึก หากไม่ใช่เพราะพวกเขารู้ถึงนิสัยของมู่เฉิน พวกเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายโม้แล้ว
เมื่อเห็นสายตาดังกล่าว มู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจ เขายักไหล่พลางพูดอย่างแผ่วเบา “พวกข้าได้วัตถุล้ำค่ามาชิ้นหนึ่งในสมรภูมิหยุ่นลั้ว มันสามารถค้นหาตำแหน่งซากอารยธรรมได้ ดังนั้น…”
“บ้าเอ้ย”
สิ้นเสียงพูดมู่เฉิน ดวงตาของผู้บัญชาการทั้งสี่ก็แดงก่ำ กระทั่งเลี่ยซันยังอดสบถขึ้นมาไม่ได้ ทั้งสี่ต่างจ้องมู่เฉินด้วยสายตาร้อนระอุ เพราะพวกเขารู้ว่าคำพูดของมู่เฉินหมายถึงอะไร วัตถุที่สามารถค้นหาที่ตั้งของซากอารยธรรมโบราณในสมรภูมินี้ได้ นับเป็นอาวุธเทพสำหรับขั้วอำนาจอื่นๆ เลย!
ด้วยวัตถุชิ้นนี้ การรวบรวมยาหยุ่นลั้วก็ถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว!
แววตาแดงก่ำทั้งสี่จ้องมองมู่เฉินเขม็ง นี่ถ้าชายหนุ่มไม่ได้เป็นสมาชิกสำนักเดียวกันละก็ งานนี้พวกเขาปล้นอีกฝ่ายไปแล้ว
เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ยิ้มพร้อมกับหรี่ตาแคบลง “ตอนนี้ข้าอยากชวนพวกเจ้าร่วมเดินทางไปด้วยกัน ถ้าโชคดีพวกเราอาจจะพบซากอารยธรรมระดับหนึ่งก็ได้”
ผู้บัญชาการทั้งสี่เลียริมฝีปากที่แห้งผาก จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ลังเล
“จัดไป!”
เมื่อเทียบกับการเป็นคนตาบอดต้องคลำทางไปทั่ว จะดีกว่าถ้าติดตามมู่เฉินที่มีวัตถุค้นหาตำแหน่ง ประสิทธิภาพระหว่างสองตัวเลือกนี้ แม้แต่คนโง่ก็คำนวณได้ง่ายๆ
เมื่อมู่เฉินเห็นผู้บัญชาการทั้งสี่ตกลงโดยไม่คิดมาก เขาก็เอียงศีรษะมองจิ่วโยวและยิ้ม
ผู้ช่วยที่ทรงศักยภาพสี่คนที่มีหน่วยรบเป็นของตนเองร่วมทางด้วยกัน ต่อไปถึงเวลาที่พวกเขาจะกวาดล้างบ้างแล้ว