หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 865 หน่วยรบสุดนภา
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 865 หน่วยรบสุดนภา
ตู้ม!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่อันไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับพายุ รัศมีจั้นยี่ทรงพลังมากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ช่างเป็นรัศมีจั้นยี่ที่น่าทึ่งอะไรเช่นนี้!”
แม้แต่ผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทั้งสี่ก็ยังมีสายตาเคร่งขรึมลง แม้ว่าเซียวเทียนจะบ้ามาก แต่ก็ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของชายคนนี้ ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงมั่นใจและไม่กลัวมู่เฉิน
ดวงตามู่เฉินก็หดลงจับจ้องฉากนี้ รัศมี่จั้นยี่ที่บัญชาโดยเซียวเทียนแข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเจอมาในภูมิภาคทางเหนือ คนที่เขาปะทะมาในอดีตไม่สามารถบัญชารัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังเพียงนี้
เซียวเทียนสมกับเป็นอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของตำหนักสุดนภาจริงๆ!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เซียวเทียนก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะร่าพลางโบกมือ ภูเขาขนาดใหญ่ที่เบื้องหลังก็มีนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ขณะที่รัศมีจั้นยี่ที่ทำให้จอมยุทธ์มากมายถึงกับตกตะลึงล้นหลามออกมาจากร่างของพวกเขา
นี่คือหน่วยรบสุดนภาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวเทียน
จำนวนนักรบมากมายยืนกระจายทั่วบริเวณ ในความเงียบสงบกลับมีรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวพลุ่งพล่าน นักรบทุกคนสวมใส่ชุดเกราะสีเงินสาดแสงระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับดวงอาทิตย์
จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายพวกเขา ซึ่งบ่งบอกว่ากองทัพนี้ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากที่สุดก็คือเมื่อกวาดมองคร่าวๆ หน่วยรบสุดนภามีกำลังพลถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคนเลยทีเดียว ซึ่งเป็นจำนวนที่แม้แต่หน่วยรบแยกคีรียังเทียบไม่ได้
“นั่นคือหน่วยรบสุดนภาที่ได้รับการดูแลจากตำหนักสุดนภามานานหลายปีและอยู่ภายใต้การบัญชาการของเซียวเทียนมาตลอดหลายปี!” เลี่ยซันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สายตาที่มองไปทางมู่เฉินฉายแววกังวลเป็นครั้งแรก
เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉินในศาสตร์รัศมจั้นยี่ แต่เซียวเทียนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นอัจฉริยะในศาสตร์นี้เช่นกัน มิหนำซ้ำยังกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วย บวกกับการได้เปรียบในด้านจำนวนของหน่วยรบ อีกฝ่ายถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของมู่เฉินแน่นอน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาสะบัดแขนเสื้อ หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงดังลั่นฟ้า โดยไม่มีสัญญาณที่คิดจะถอยห่างเลย
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตกำจายออกไปราวกับมหาสมุทร พลังที่แสดงออกมาทำให้จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเนื่องจากความแตกต่างเชิงปริมาณ รัศมีจั้นยี่วิหคหโลกันตร์จึงดูด้อยกว่าหน่วยรบสุดนภาหลายส่วน
“ฮ่าๆ แกคิดจะสู้กับหน่วยรบสุดนภาด้วยกำลังพลเพียงห้าพันคนเนี่ยนะ? ตลกจริงเว้ย!” เซียวเทียนส่งเสียงเย้ยหยันขณะมองไปที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน การต่อสู้ส่วนใหญ่ระหว่างรัศมีจั้นยี่ขึ้นอยู่พลังของกองทัพ ซึ่งพลังของกองทัพก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและจำนวนของนักรบ
หน่วยรบสุดนภาของเขาได้รับการดูแลจจากตำหนักสุดนภามาหลายปี ซึ่งใช้ทรัพยากรจำนวนมากมาย ในขณะที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์มีรากฐานอ่อนด้อย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ราวกับกลางวันและกลางคืน ดังนั้นหากพวกเขาปะทะกันจริงๆ ผลลัพธ์ต้องเอียงทางข้างเดียวแน่นอน
“ตู้ม!”
เซียวเทียนมีนิสัยโหดเหี้ยมและไร้ปรานี ดังนั้นขณะที่พูดเยาะเย้ยก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉิน เขาวาดตราประทับในฝ่ามือ รัศมีจั้นยี่กว้างใหญ่ที่เบื้องหลังพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อเป็นลำแสงนับหมื่นดูราวกับพายุหมุนโอบล้อมรอบมู่เฉิน
ในเส้นทางที่ลำแสงกวาดผ่าน มิติกระเพื่อมไหวด้วยความผันผวนของคลื่นพลังงานซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังมีท่าทางเคร่งเครียด แม้ว่าขุมพลังของเซียวเทียนจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังหวาดผวาเมื่อเขาเข้าบัญชาหน่วยรบสุดนภานี้
มู่เฉินมองไปที่การโจมตีที่โอบล้อมมาจากทุกทิศทางก็ขมวดคิ้ว ฝ่ามือของเขาวาดท่าตราประทับ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเบื้องหลังกระเพื่อมไหว ก่อร่างเป็นปราการยิ่งใหญ่
ปัง! ปัง! ปัง!
ลำแสงรัศมีจั้นยี่นับไม่ถ้วนพุ่งกระแทกใส่ ทำให้ปราการพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น
เมื่อปราการแตกออกลำแสงที่เหลือก็กวาดเข้าหามู่เฉินไม่มียั้ง
กีด!
แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน ทันใดนั้นเสียงแหลมคมก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน วิญญาณสงครามยิ่งใหญ่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ปีกสองข้างที่ราวกับใบมีดคมกริบกวาดออกมา เปลี่ยนความผันผวนของคลื่นหลิงที่รุนแรงเหล่านั้นให้การเป็นประกายแสง
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉิน พร้อมกับแววตื่นตะลึงวาบผ่านนัยน์ตาไป
“นั่นเหรอวิญญาณสงคราม? ทรงพลังจริงๆ ทำให้รัศมีจั้นยี่หน่วยรบวิหคโลกันตร์เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนเลย!”
“มิน่าล่ะผู้คนถึงว่ากันว่ามีเพียงกองทัพที่สามารถสร้างวิญญาณสงครามได้เท่านั้นที่จะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกองทัพที่แท้จริง ที่แท้วิญญาณสงครามก็ทรงพลังขนาดนี้นี่เอง!”
“…”
เสียงกระซิบกระซาบดังก้องไปทั่วบริเวณ เนื่องจากมีกองทัพน้อยนิดที่สามารถสร้างวิญญาณสงครามขึ้นมาได้ ดังนั้นการได้เห็นในการต่อสู้นี้ทำให้วิสัยทัศน์ของพวกเขากว้างขึ้น
“ฮ่าๆ นี่คือวิญญาณสงครามของแกเรอะ?” เซียวเทียนถากถาง ขณะที่จ้องมองวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ จากนั้นมุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าจะถ่างตาแกให้เห็นเอง!”
เมื่อคำพูดจบลง รัศมีจั้นยี่ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็กวาดรวมตัวกันอย่างเมามัน ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนยอดเขาแผ่ซ่านออกไปราวกับแผ่นดินพิโรธเลยทีเดียว
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ด้านหลังเซียวเทียน ทันใดนั้นเงาใหญ่ก็ปกคลุมเข้ามากะทันหัน ทำให้สีหน้าจอมยุทธ์ทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและตกตะลึง
รัศมีจั้นยี่อสรพิษที่มีขนาดหลายพันจั้งก่อตัวลอยอยู่เหนือขอบฟ้า เสียงขู่ฟ่อทำให้เกิดการลูกคลื่นในมิติ มีลวดลายโบราณพร่างพราวสลักบนร่างอสรพิษยักษ์ ทำให้เกิดคลื่นน่าอัศจรรย์ใจกระจายออกไป
วิญญาณสงครามอสรพิษนี้มีขนาดใหญ่กว่าที่มู่เฉินสร้างขึ้นมาเสียอีก มิหนำซ้ำเมื่อเทียบระหว่างทั้งสองแล้วก็เห็นถึงความแตกต่างในคลื่นหลิงอีกด้วย
“มู่เฉินทะนงตนเกินไป หน่วยรบวิหคโลกันตร์มีนักรบห้าพันคนเท่านั้น ซึ่งหน่วยรบของเซียวเทียนมีมากกว่าถึงสามเท่า วิญญาณสงครามที่สร้างขึ้นระหว่างพวกเขาราวกับฟ้ากับเหวเลยทีเดียว” บนยอดเขาสูงที่ฝั่งหมู่ตึกเทวะ ฟังยี่เอ่ยเย้ยหยันเสียงเย็น ขณะที่มองรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่สองกลุ่ม
ที่เบื้องหน้าเขา จินไถหลิวหลีมองภาพนี้แต่ดวงตากลับหดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมองเห็นริ้วความประหลาดใจปรากฏขึ้นในนัยน์ตา เมื่อนางมองไปที่วิญญาณสงครามของมู่เฉิน
“ลวดลายบนวิญญาณสงครามที่มู่เฉินสร้างมีสี่พันกว่าลาย ส่วนซียวเทียนมีหกพันกว่าลาย” จินไถหลิวหลีพึมพำกับตัวเอง
เมื่อได้ยิน พวกฟังยี่ก็อึ้งไปก่อนที่จะหัวเราะ “งั้นดูท่ามู่เฉินต้องแพ้แน่เลย”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าลวดลายนี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาสามารถบอกได้จากการแสดงออกของจินไถหลิวหลีว่ายิ่งจำนวนลวดลายมากขึ้น ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จินไถหลิวหลีไม่ได้สนใจฟังยี่ กลับจ้องมองมู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ
คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับพลังรัศมีจั้นยี่ มากจนแม้แต่แม่ทัพส่วนใหญ่ที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นของการบัญชายังไม่รู้อะไรมากนัก จากการคาดการณ์ของจินไถหลิวหลี บางทีเม้แต่มู่เฉินกับเซียวเทียนยังไม่ค่อยรู้ความหมายเบื้องหลังของลวดลายพวกนี้
แต่จินไถหลิวหลีเคยอ่านข้อมูลบางอย่างในตำราโบราณ ดังนั้นนางจึงรู้ว่ามีความแตกต่างของพลังระหว่างวิญญาณสงคราม ซึ่งถูกกำหนดด้วยลวดลายที่อยู่บนวิญญาณสงคราม โดยที่ลวดลายจะมีความสัมพันธ์กับรัศมีจั้นยี่ของกองทัพ ดังนั้นกองทัพที่มีรัศมีจั้นยี่ทรงพลังกว่าก็จะสามารถสร้างลวดลายบนวิญญาณสงครามได้มาก
ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันของลวดลายบนวิญญาณสงคราม ฝั่งมู่เฉินมีน้อยกว่าฝั่งเซียวเทียนก็จริง แต่กองทัพของเซียวเทียนมีนักรบมากกว่าถึงสามเท่า
นั่นหมายความว่าถ้าทั้งคู่มีกองทัพขนาดเดียวกันละก็ มู่เฉินปราบเซียวเทียนอยู่หมัดแน่นอน… ซึ่งบ่งบอกว่าความเข้าใจของมู่เฉินเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เพราะด้วยจำนวนนักรบห้าพันคนของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ สามารถสร้างลวดลายสี่พันลายบนวิญญาณสงครามได้ นี่เป็นเรื่องยากกระทั่งกับจินไถหลิวหลีที่จะทำ
มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ
“ฮ่าๆ มู่เฉิน แกมองเห็นความแตกต่างนี้ไหม? แม้จะเทียบด้านวิญญาณสงครามแกก็ยังด้อยกว่าข้า” ขณะที่อสรพิษใหญ่ขดตัวอยู่เบื้องหลังเซียวเทียน เขาก็หัวเราะสาสมใจพลางมองไปที่มู่เฉิน นั่นเพราะในความรู้สึกเขา วิญญาณสงครามที่มู่เฉินสร้างด้อยกว่าตัวเอง ดังนั้นผลลัพธ์ของการต่อสู้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่จ้องมองอสรพิษเบื้องหลังเซียวเทียน แต่ก็ยังไม่มีระลอกคลื่นใดในนัยน์ตา
“สายตานี้น่ารังเกียจจริงๆ ตายซะเถอะ!”
เมื่อเห็นสายตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ดวงตาของเซียวเทียนก็ลุกโชนด้วยรังสีสังหาร นั่นเพราะเขาต้องการเห็นมู่เฉินหวาดกลัวและร้อนรน ไม่ใช่สงบนิ่งราวกับผิวน้ำ!
ดังนั้นเขาจึงแผดเสียงลั่น อสรพิษที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงขู่ฟ่อ ขณะที่ลวดลายระเบิดออกเป็นวงกว้าง รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไป
ปัง!
อสรพิษอ้าปากกว้าง ลมหายใจรัศมีจั้นยี่พันจั้งกวาดออกมา อากาศถึงกับหลอมละลายทันที จากนั้นก็พุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของมู่เฉิน
ตราประทับในฝ่ามือของมู่เฉินเปลี่ยนไป วิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ก็คำรามลั่น ก่อนที่จะกวาดปีกออกราวกับโล่ ป้องกันลมหายใจที่น่าสะพรึง
ชี่! ชี่!
ทันทีที่คลื่นพลังสองสายปะทะกัน ก็เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่ว ขณะที่รัศมีจั้นยี่กระแทกกันไม่ยั้ง ลวดลายบนปีกวิหคโลกันตร์ก็เหมือนจะค่อยๆ จางลง
นี่เป็นสัญญาณบอกว่ารัศมีจั้นยี่กำลังอ่อนล้า
แม้ว่าลวดลายอสรพิษจะลดลงเช่นกัน ทว่าอัตราการจางหายก็ยังช้ากว่าของวิหคโลกันตร์ ดูจากสภาะนี้แล้วคงอีกไม่นานที่รัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์จะอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ
ผู้ชมก็สังเกตเห็นฉากนี้ ต่างก็ถอนหายใจ ดูท่าครั้งนี้มู่เฉินจะเตะกระดานโลหะเข้าให้แล้ว
ที่เบื้องหลังคิ้วของจิ่วโยวและผู้บัญชาการทั้งสี่ก็ถึงกับขมวดแน่น ความกังวลในดวงตาหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ฮา
แต่ภายใต้สายตากระวนกระวายของพรรคพวก มู่เฉินกลับพ่นลมหายใจสีขาวขุ่นออกมา ก่อนที่เขาจะหันมายิ้มให้กับเสี่ยยิง รอยยิ้มนี่ทำให้คนที่เหลือถึงกับใจกระตุกเลยทีเดียว
“ผู้บัญชาการเสี่ยยิง ขอข้ายืมหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตหน่อย!”