หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 868 กองทัพเสื่อมทราม
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 868 กองทัพเสื่อมทราม
ในซากอารยธรรมความตาย
รัศมีแห่งความตายหนาแน่นกวาดไปทั่วบริเวณ ดูราวกับดินแดนความตาย ทำเอาขนลุกชันไปหมด
วาบ!
แต่วันนี้ความสงบในซากอารยธรรมกลับแตกสลาย จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามา เสียงโวกเวกต่อสู้ทำให้ดินแดนแห่งนี้คึกคักขึ้นมาก
มู่เฉินนำหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้ามา หลังจากเข้ามาก็เร้าความเร็วทัพจนถึงขีดสุด ราวกับหอกที่พุ่งออกไปจนไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ทะยานตัวเข้าไปในจุดลึกอย่างรวดเร็ว
ทว่าภายใต้การเดินทางที่รวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็เห็นสิ่งกีดขวางที่อยู่ในดินแดนโบราณ นี่คือกองทัพผีดิบนับพัน นักรบเหล่านี้สวมชุดเกราะผุพัง ร่างกายแห้งกรังดูราวกับโครงกระดูก มีเพียงแสงสีแดงที่ยังริบหรี่อยู่ในเบ้าตากลวงโบ๋ กำจายรัศมีลางร้ายราวกับต้องการทำลายทุกสรรพสิ่งที่เข้ามาขวาง
นักรบผีดิบเหล่านี้เข้าขัดขวางผู้บุกรุก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด
นักรบเหล่านี้กำจายรัศมีเสื่อมทรามไปทั่วร่าง พวกมันสูญเสียสติสัมปชัญญะราวกับซากศพที่เดินได้ ไม่เจ็บไม่ปวดและไม่เกรงกลัวใดๆ นอกจากนี้การโจมตีของพวกมันยังสอดประสานกันเป็นกระบวนทัพที่น่าสะพรึง การเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียว โดยที่คลื่นหลิงผสมผสานกับรัศมีเสื่อมทรามหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วระเบิดด้วยพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ มีกองทัพทรงพลังมากมายพลาดในมือพวกมันเพราะไม่ทันตั้งตัว
“นักรบผีดิบเหล่านี้…”
มู่เฉินจ้องมองนักรบผีดิบที่ประสานงานกันในระดับสูง ดวงตาก็หดลง จากนั้นเขาแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว สีหน้าก็เคร่งเครียดมากขึ้น นั่นเพราะทั้งสองตระหนักได้ว่ารัศมีของนักรบผีดิบเหล่านี้เหมือนกับศิษย์เอกแห่งวังสวรรค์บรรพกาลที่พวกเขาพบในซากอารยธรรมแห่งแรก
“นักรบเหล่านี้น่าจะเคยสู้กับพวกปีศาจต่างมิติมาก่อน ทำให้โดนรัศมีปีศาจเข้ารุกราน จนร่างผุผังไป ดังนั้นจึงกลายมาเป็นแบบนี้” จิ่วโยวกล่าวเสียงครึ้ม
“ปีศาจต่างมิติรึ?” เมื่อได้ยิน สายตาของผู้บัญชาการคนอื่นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แม้ว่ามหาสงครามโบราณเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่พวกเขาก็ยังตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงกลัวของเผ่าพันธุ์นี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานขนาดไหน ผู้รุกรานจากต่างมิติเหล่านี้ก็เป็นศัตรูร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ในมหาพันภพ
“ระวังกันด้วย”
มู่เฉินเอ่ยเตือนก่อนจะทะยานต่อไป กองทัพที่อยู่เบื้องหลังก็ตอบรับคำสั่งเริ่มตื่นตัวทันที รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดเป็นวงออกไป สายตาระแวดระวังกวาดมองไปทั่ว
กองทัพขนาดใหญ่นี้ราวกับพายุพัดเข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะการรวมตัวของพวกเขาทรงพลังมากเกินไป ทำให้แม้แต่กองทัพนักรบผีดิบขนาดเล็กยังไม่เข้ามาขัดขวาง ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปได้
แต่ว่ามู่เฉินไม่ได้รู้สึกโล่งใจกับการถูกปล่อยผ่านไป นี่ยิ่งทำให้หัวใจของเขาตึงเครียด สายตาของเขายิ่งตื่นระวังภัยมากขึ้นขณะกวาดมองสภาพแววดล้อมโดยรอบ
แล้วความระวังภัยของเขาพิสูจน์ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาคิดถูก ขณะที่พวกเขาเดินทัพผ่านแผ่นดินแห่งความมืด จู่ๆ รัศมีจั้นยี่ก็ระเบิดออกจากร่องน้ำมืดมิดในภูเขาเบื้องหน้า อึดใจกระแสคลื่นเชี่ยวกรากสีดำก็กวาดออกมาเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็น
กระแสคลื่นนี้ก็คือรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลัง
มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ร่องน้ำภูเขา เขาเห็นนักรบผีดิบหลายพันร่างลอยอยู่บนท้องฟ้า รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านไปหมด แต่รัศมีจั้นยี่นี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ร้อนแรง กลับเต็มไปด้วยความผันผวนของความตายที่น่าขนลุกแทน
“ผู้บัญชาการมู่ไม่ต้องลงมือหรอก ปล่อยนี่ให้เป็นหน้าที่หน่วยรบกระบี่เทพของข้าเถอะ” หลิงเจี้ยนมองไปที่กองทัพนักรบผีดิบที่เข้ามาขวาง ก็พูดพลางหัวเราะให้มู่เฉิน เขาโบกมือส่งสัญญาณผู้ใต้บังคับบัญชาก็เปล่งเสียงคำรามลึกพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตแผ่ออกมา ก่อตัวเป็นร่างแสงที่ถือกระบี่ยักษ์เหนือกองทัพ
ร่างแสงนี้สร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่ ซึ่งก็คือวิญญาณสงครามกระบี่เทพที่ได้รับการกลั่นโดยมู่เฉิน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เสียงกระแสคลื่นเชี่ยวกรากของกระบี่ดังขึ้น ขณะที่ร่างใหญ่ฟันกระบี่ในมือลงมาอย่างเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นลำแสงกระบี่หลายร้อยจั้งก็กวาดออก ซึ่งอัดแน่นไปด้วยรัศมีจั้นยี่ทรงพลังในลำแสงนั้น
วาบ!
แสงกระบี่ราวกับเกลียวแสงพุ่งผ่านขอบฟ้า ฉีกรัศมีจั้นยี่สีดำที่ส่งเสียงอื้ออึงออกจากกันทันที จากนั้นร่างคลื่นพลังงานก็เร้ารัศมีจั้นยี่ถึงขีดสุด แสงกระบี่พุ่งออกไปทุกทิศทาง ครอบงำกองทัพนักรบผีดิบที่มีหลายพันคนเอาไว้
ปัง! ปัง!
การประจันหน้าของสองกองทัพทำให้รัศมีจั้นยี่กวาดออกทันที ฉีกฟ้าดินเป็นหลุมลึก แต่ภายใต้การเผชิญหน้าที่ดุร้ายนี้ วิญญาณสงครามนักรบกระบี่ดุร้ายยิ่งกว่า ขณะที่ระลอกรัศมีจั้นยี่กวาดอาละวาด กองทัพนักรบผีดิบก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
เมื่อนักรบผีดิบในกองทัพนั้นถูกฟันฆ่า รัศมีเสื่อมทรามบนร่างพวกเขาก็เริ่มหายไป ร่างที่เหี่ยวแห้งอยู่แล้วก็สลายเป็นเถ้าถ่าน
ก่อนที่พวกเขาจะสลายไป รอยยิ้มแห่งอิสรภาพก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแห้งกรัง นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขายังมีสติ แต่เป็นสัญชาตญาณจากการได้รับอิสระ
เมื่อเหล่านักรบกลายเป็นเถ้าถ่านทีละคน พลังงานน่าอัศจรรย์ก็กระเพื่อมออกมา นี่ทำให้ดวงตาของมู่เฉินและคนอื่นถึงกับสว่างวาบ นั่นเพราะกลุ่มพลังงานเหล่านี้ก็คือไอหยุ่นลั้วที่พวกเขาต้องการนั่นเอง
หลิงเจี้ยนหัวเราะร่าพลางสะบัดแขนเสื้อ เขาดูดไอหยุ่นลั้วทั้งหมดนั้นเข้ามา จากนั้นไม่นานก็กลั่นเป็นเม็ดยาได้หลายร้อนเม็ดเลยทีเดียว
จำนวนดังกล่าวใกล้เคียงกับการเก็บเกี่ยวในซากอายรธรรมระดับสามแห่งหนึ่งเลยทีเดียว!
“ซากอารยธรรมความตายอยู่ในระดับหนึ่งแน่นอน!” ดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะที่สบถบ่นหลิงเจี้ยนที่เจ้าเล่ห์ในใจ เขาแย่งลงมือได้เร็วจริงๆ
“ขอบคุณผู้บัญชาการมู่สำหรับวิญญาณสงครามนี้ มิเช่นนั้นหน่วยรบกระบี่เทพคงต้องจ่ายราคาไม่น้อยกับศึกนี้แน่นอน” หลิงเจี้ยนประสานมือคารวะมู่เฉินพลางส่งยิ้มสุภาพให้
หากหน่วยรบกระบี่เทพยังไม่ได้กลั่นวิญญาณสงคราม เมื่อพวกเขาเข้าปะทะกับกองทัพนักรบผีดิบคงต้องจ่ายราคามหาศาลแน่ แม้ว่าจะได้รับชัยชนะก็ตาม แต่ด้วยการสนับสนุนของวิญญาณสงคราม พวกเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ พลังที่เพิ่มขึ้นในการต่อสู้ไม่ใช่มีน้อยเลยจริงๆ
มู่เฉินยิ้มให้กับเหล่าผู้บัญชาการพลางเอ่ยว่า “นี่แค่เริ่มต้น พอถึงเวลาต่อให้พวกเจ้าไม่อยากจะสู้ก็ต้องสู้แล้ว”
เหล่าผู้บัญชาการถึงกับเลียริมฝีปากเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แต่ละคนดูคึกคักขึ้นไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ชัดว่าผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากจุดเริ่มต้นเร้าใจปลุกสัญชาตญาณนักล่าออกมาแล้ว
“ไปกันเถอะ เร่งความเร็วขึ้นอีก”
มู่เฉินมองไกลออกไปก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงที่ระเบิดขึ้นทุกหย่อมในซากอารยธรรมความตายนี้ ชัดว่ากองทัพอื่นๆ ต่างตระหนักถึงไอหยุ่นลั้วที่อยู่ในร่างกองทัพนักรบผีดิบเหล่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับซากอารยธรรมระดับสามธรรมดา ความเข้มข้นของไอหยุ่นลั้วที่นี่มีมากกว่าไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต่างกำลังล่าให้เร็วขึ้นไปอีก
มู่เฉินมองตรงไปยังส่วนลึกที่สุดของซากอารยธรรมความตาย ประกายแสงเคร่งเครียดวูบไหวในดวงตา เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นักรบทั้งหมดที่นี่ล้วนถูกรัศมีปีศาจรุนราน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าของจั้นเจิ้นซือที่พวกเขากำลังค้นหาอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยหรือไม่ หากเป็นแบบนั้น สุดท้ายพวกเขาอาจต้องปะทะกับจั้นเจิ้นซือที่ถูกรัศมีปีศาจครอบงำ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจั้นเจิ้นซือในสภาพนั้นจะมีพลังเท่าไร แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เป็นของจั้นเจิ้นซือที่อ่อนแอที่สุดก็ยังน่าสะพรึงอยู่ดี
ทว่าถ้าพวกเขาเลือกถอยกลับในตอนนี้ก็เท่ากับคว้าได้เพียงอากาศธาตุ ดังนั้นไม่ว่าที่นี่จะเป็นบ่อมังกรหรือถ้ำพยัคฆ์ เขาก็ต้องตะลุยไปอย่างไม่กลัวเกรง
เส้นทางของยอดยุทธ์ต้องไร้ความกลัว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อพุ่งตัวนำ ที่ด้านหลังกองทัพขนาดใหญ่กวาดไปด้วยแรงสั่นสะเทือน ทำให้กองทัพที่อยู่โดยรอบถึงกับประหลาดใจ
ขณะพวกเขาเดินทางเข้าไปลึก ก็พบเจอกับกองทัพนักรบผีดิบเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำยังแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นความเร็วของพวกเขาจึงลดลงหลายระดับ ทว่าโชคดีที่พวกเขารวมตัวยิ่งใหญ่ ดังนั้นแม้ความเร็วจะถูกกระทบบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อพวกเขาเคลื่อนทัพลึกเข้าไป จำนวนกองทัพที่พบก็เริ่มลดลง แต่ที่คงอยู่ล้วนเป็นกองทัพทรงพลัง
สถานการณ์แบบนี้หากไม่มีพลังมากพอ ก็คงถูกทำลายล้างลงไปนานแล้ว แต่กระนั้นจำนวนกองทัพที่เข้ามาในส่วนลึกก็ยังมีอยู่บ้าง
เมื่อหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์เคลื่อนเข้ามาในจุดลึกของซากอารยธรรมความตาย ร่างกายของมู่เฉินก็ตึงเครียดมากขึ้น นี่เป็นสัญชาตญาณต่ออันตรายของเขา
บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความมืดมิด มู่เฉินที่กำลังมุ่งหน้าก็หยุดลงพลางขมวดคิ้วมองไปยังเบื้องหน้า บริเวณนั้นมีร่างนับพันที่กระเด็นออกมาด้วยอย่างน่าสมเพช บนร่างอาบไปด้วยเลือด คลื่นหลิงที่กระเพื่อมอยู่รอบตัวเหี่ยวเฉาอย่างยิ่ง
มู่เฉินโบกมือให้ทุกคนหยุดลง ขณะที่มองไปอย่างระมัดระวัง
“พวกเขามาจากสำนักหลักสงคราม” เลี่ยซันมองไปที่กองทัพแตกฉานซ่านเซ็น ขณะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวหดเกร็ง สำนักหลักสงครามเป็นขั้วอำนาจลำดับต้นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาไม่ใช่อ่อนแอเลย มีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกคนหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย แต่ในบรรดาคนที่หนีไปไม่มีเงาของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเลย…
“จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของพวกเขาถูกสังหารแล้ว” มู่เฉินกล่าวชัดถ้อยชัดคำขณะจับจ้องไปในระยะไกล
“เจ้ารู้ได้ยังไง?” หัวใจของเหล่าผู้บัญชาการเต้นสะเทือนพลางถามออกไป
มู่เฉินชี้ไปข้างหน้า มองเห็นหมอกสีดำเชี่ยวกรากกวาดเข้ามา ภายในกลุ่มหมอกเสียงฝีเท้าสั่นสะเทือนดังก้อง
ทั้งพื้นที่สั่นไหวจากเสียงฝีเท้าประสานกัน
เมื่อหมอกสลายหายไป ร่างเงาสวมชุดเกราะสีดำนับไม่ถ้วนที่กำจายรัศมีเสื่อมทรามก็ปรากฏจนสิ้นสุดขอบเขตการมองเห็น รัศมีจั้นยี่น่าอัศจรรย์เหนือกองทัพกวนตัวราวกับมหาสมุทร
รัศมีจั้นยี่สีดำป่าเถื่อนรวมกันอย่างรุนแรงก่อร่างเป็นหมาป่าปีศาจสีดำขนาดมหึมาที่เบื้องบนกองทัพ หมาป่าปีศาจเงยหน้าหอนโหยหวนสั่นเทือนฟ้าดิน
กองทัพนักรบผีดิบนี้มีวิญญาณสงคราม!
“วิญญาณสงคราม?!”
สีหน้าของเหล่าผู้บัญชาการเปลี่ยนไป แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานลั่น ใบหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน ดูท่าว่ากองทัพหลักสงครามจะถูกทำลายโดยกองทัพน่าสะพรึงนี้
ม่านตาของมู่เฉินหดลงเช่นกัน จากนั้นสายตาก็มองขึ้นไปฉับพลัน เห็นร่างสีดำยืนตระหง่านอยู่ในรัศมีจั้นยี่ที่พลุ่งพล่านเหนือกองทัพอย่างเลือนราง
“เฮือก!”
มู่เฉินสูดอากาศเย็นเข้าไปลึกสุดปอดขณะเปล่งเสียงตกตะลึง “กองทัพนี้มีคนสั่งการอยู่?!”