หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 870 กองทัพใหญ่รวมตัว
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 870 กองทัพใหญ่รวมตัว
“ระวัง…นายท่าน…”
ขณะที่เสียงแหบแห้งดังสะท้อนไปทั่ว ร่างแม่ทัพห้าก็หายไป มู่เฉินมองไปที่จุดนั้นก็ประสานมือคำนับ
“ค่ายกลจตุเทวะเหรอ”
มู่เฉินมองไปยังส่วนลึกของซากอารยธรรมซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไร ซึ่งให้ความรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ผู้บัญชาการทั้งห้าทะยานตัวเข้ามา มีแววสงสัยในดวงตา ขณะพูดเสียงเบา “ค่ายกลจตุเทวะ?”
“น่าจะมีค่ายกลศึกที่แท้จริงอยู่ข้างหน้าแล้วล่ะ” มู่เฉินพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อได้ยินคำว่าค่ายกลศึก แววตาของเหล่าผู้บัญชาการก็วูบไหวด้วยความหวาดเกรง นั่นเพราะพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่ามีเพียงจั้นเจิ้นซือที่สามารถจัดตั้งค่ายกลศึกได้ แล้วเมื่อจัดตั้งสำเร็จก็จะทรงพลังจนสะเทือนฟ้าดิน
หลิงเจิ้นซือธรรมดาจะยืมพลังจากฟ้าดินเพื่อสร้างค่ายกล แต่จั้นเจิ้นซือกลับสร้างค่ายกลศึกจากกองทัพไร้ขอบเขต รัศมีจั้นยี่ที่ไร้สิ้นสุดระดับนั้นเป็นสิ่งที่กระทั่งสวรรค์และโลกยังหวาดกลัว
แม้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะรวบรวมหน่วยรบอาณาเขตกงเวทวรรค์มากว่าครึ่งหนึ่ง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวกับค่ายกลศึกที่สร้างขึ้นโดยจั้นเจิ้นซือ
แต่ถึงจะกลัวแค่ไหน พวกเขาก็ไม่คิดถอยกลับ ในเมื่อพากันมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกเขาถอยไปก็จะเสียหน้าผู้บัญชาการหมด
“อย่างแรกกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้วก่อนเถอะ” มู่เฉินถอนสายตาขณะที่พูด
หัวใจเหล่าผู้บัญชาการกระตุก ก่อนที่จะเพ่งความสนใจไปยังไอหยุ่นลั้วไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งกำลังพล่านออกมาจากการถูกทิ้งหลังจากกองทัพนักรบผีดิบลบล้างไปแล้ว
ในระยะไกล เมื่อกองทัพอื่นๆ ที่เร่งรุดมายังที่นี่เห็นไอหยุ่นลั้วมหาศาล ดวงตาของพวกเขาก็แดงก่ำด้วยความโลภ ทว่าพวกเขาเกรงการรวมตัวยิ่งใหญ่ของกลุ่มมู่เฉินจึงทำได้แค่ดึงความโลภในใจกลับลงไป เพราะนอกจากมีผู้บัญชาการทั้งหกยังมีหน่วยรบทั้งห้าจับตาดูอยู่ด้วย
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เฝ้ามองมู่เฉินและเหล่าผู้บัญชาการลงมือกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว โดยมีจำนวนรวมเกือบหนึ่งหมื่นเม็ดเห็นจะได้
การเก็บเกี่ยวนี้เทียบได้กับซากอารยธรรมระดับสองเลยทีเดียว
เมื่อไอหยุ่นลั้วสายสุดท้ายถูกกลั่นเรียบร้อย เหล่าผู้บัญชาการก็หยุดกระบวนการลงด้วยความพึงพอใจ คราวนี้พวกเขาได้รับเม็ดยามากกว่าเก้าพันเม็ด หลังจากหารเฉลี่ยกันยังได้คนละเกือบสองพันเม็ดเลยทีเดียว
“ซากอารยธรรมความตายอยู่ในระดับหนึ่งจริงๆ” เลี่ยซันถอนหายใจ นี่เป็นเพียงกองทัพเดียวเท่านั้นก็สามารถกลั่นเม็ดยาได้ทีละเกือบหมื่นเม็ด หากเปรียบเทียบกับซากอารยธรรมระดับสามอาจจะต้องค้นหามากถึงสามสิบแห่งถึงจะพอเทียบเท่าได้
ทว่าแม้การเก็บเกี่ยวจะยอดเยี่ยม แต่ก็อันตรายนัก หากไม่ใช่การรวมตัวที่โอ่อ่าเช่นนี้ ผลลัพธ์ของพวกเขาคงไม่ได้ต่างจากสำนักหลักสงครามเท่าไร
“ต่อไป”
เหล่าผู้บัญชาการหันมามองมู่เฉินเชิงถามความคิดเห็น ก่อนที่แม่ทัพห้าจะหายไป เขาได้พูดถึงค่ายกลศึกน่าสะพรึงที่อยู่ลึกเข้าไปในซากอารยธรรมแห่งนี้ โดยเฉพาะที่นั่นอาจยังมีจักรพรรดิเทียนเจิ้น คนที่แม่ทัพห้าเรียกว่า ‘นายท่าน’ อยู่ด้วย
บางทีอาจมีสมบัติมากมายรอพวกเขาอยู่ แต่อันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างในก็เกินจะกล่าวเช่นกัน
“ลองไปดูก่อนเถอะ ถ้าแข็งแกร่งเกินไปก็กลั่นเม็ดยาหยุ่นลั่วสักนิดค่อยถอยกลับ” มู่เฉินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างเด็ดขาด แม้ว่าข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับจั้นเจิ้นซือจะมีความสำคัญมากสำหรับเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการให้พรรคพวกสูญเสียอะไรมากเพราะเรื่องนี้
เมื่อทั้งห้าได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่คัดค้าน
“ไป”
มู่เฉินมองไปไกล เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูการดวลของพวกเขากับกองทัพนักรบผีดิบก็จากไปกันแล้ว ไม่มีใครโง่ที่จะปล้นพวกเขา โดยไม่ลังเลใดๆ มู่เฉินก็โบกมือกลายเป็นร่างแสงทะยานไปยังจุดลึกของซากโบราณ หน่วยรบที่รวมตัวกันก็ตามติดไปอย่างกระชั้นชิด
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่น มีกองทัพนักรบผีดิบมากมายหลั่งไหลออกมาจากความมืดไม่รู้จบ เข้าขัดขวางพวกเขาทุกฝีก้าว ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่มีเส้นทางที่ดีกว่านี้ พวกเขาจึงได้แต่ตะลุยเข้าไป
หลังจากทำลายมาหลายด่าน ถึงแม้จะเป็นการรวมทัพที่โอ่อ่า ก็เริ่มมีคนได้รับบาดเจ็บ ถ้าเหล่าผู้บัญชาการไม่ตรงเข้าช่วยเหลือทันเวลาละก็ งานนี้คงจะมีจำนวนผู้บาดเจ็บมากกว่านี้แน่
ทว่าแม้แต่ละด่านจะทรงพลัง พวกเขาก็ยังเคลื่อนทัพลึกเข้าไปอย่างช้าๆ ขยับใกล้ส่วนลึกสุดของซากอารยธรรมความตายเข้าไปทุกที…ทุกที
ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกก็ยิ่งเห็นกองทัพน่าสังเวชแตกฉานซ่านเซ็นไปหมด แต่ละกองทัพเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว บางกองทัพมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอยู่ด้วย กระนั้นพวกเขาก็ยังถูกกลืนกินโดยคลื่นกองทัพนักรบผีดิบ จอมยุทธ์ทรงพลังบางคนที่หนีเร็วยังรอดไปได้ แต่คนที่เหลือก็ต่างถูกฝังอยู่ที่นี่
ความพ่ายแพ้ของกองทัพเหล่านั้น ทำให้เกิดการสั่นไหวในหัวใจของกลุ่มมู่เฉิน แม้ว่าพวกเขาจะมีกระบวนทัพที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลายเป็นปุ๋ยอยู่ที่นี่ถ้าคิดประมาท
ตอนนี้กองทัพของพวกเขาเท่ากับครึ่งหนึ่งของสำนัก ถ้าพวกเขาถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ จะต้องส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่นอน
กองทัพยาตราผ่านความมืดมิด ความปั่นป่วนทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ที่เบื้องหน้ากองทัพ มู่เฉินกวาดสายตาแหลมคมไปทั่วอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงทรงพลังกระเพื่อมไหวรอบตัว อยู่ในสภาพพร้อมรบทุกเมื่อ
เส้นทางนี้เดินทางไม่กี่ร้อยลี้ พวกเขากลับถูกขัดขวางจากกองทัพนักรบผีดิบหลายสิบกองทัพ มากจนครั้งหนึ่งถูกกองทัพที่แข็งแกร่งไม่แพ้พวกเขาขัดขวาวง การต่อสู้ในครั้งนั้นไม่เพียงแต่จะมีนักรบบาดเจ็บล้มตาย กระทั่งหลิงเจี้ยนก็ยังได้รับบาดเจ็บไปด้วย
อันตรายในซากอารยธรรมความตายนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
“ที่นี่น่าจะเป็นจุดลึกของซากอารยธรรมความตายแล้ว” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพูดช้าๆ พร้อมกับประกายแสงวูบไหวในดวงตาที่มองเข้าไปในความมืด
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการได้ยินก็ร่างตึงเครียดขึ้นหลายส่วน จิ่วโยวกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกับมุ่นคิ้วแน่น “ทำไมถึงเงียบขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่เงากองทัพผีดิบเลย”
“ถ้ำพยัคฆ์ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาหรอก” มู่เฉินหรี่ตาขณะจดจ้องไปยังระยะไกลพูดเสียงเบาว่า “ระตัวด้วย”
ร่างเขาทะยานออกไป คลื่นหลิงถูกเร้าขึ้นมาปกป้องร่างเอาไว้ ที่เบื้องหลังหน่วยรบก็จัดกระบวนทัพติดตามมาอย่างระมัดระวัง
กองทัพใหญ่เหาะผ่านภูเขาสีดำที่ไร้ชีวิตชีวาไปอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นร่างมู่เฉินที่อยู่หน้าสุดก็หยุดชะงัก ม่านตาเขาหดเกร็งลงฉับพลัน ริ้วความตื่นตะลึงฉายบนใบหน้า
ที่เบื้องหลังใบหน้าเหล่าผู้บัญชาการก็แข็งทื่อเช่นกัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอดในชั่วอึดใจ
“นรกขุมไหนกัน” เหล่าผู้บัญชาการอุทานออกมา
มุมปากของมู่เฉินกระตุก เขาจ้องเขม็งไปที่ด้านหน้า ด้านหลังเทือกเขาเป็นที่ราบมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้มองเห็นกองทัพนักรบผีดิบมหึมาแผ่ขยายออกไปสุดสายตา ร่างเงาเหล่านี้ราวกับต้นไม้สูงตระหง่านฝังรากลึกบนพื้นดิน ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ แต่กลับมีรัศมีจั้นยี่น่าขนพองสยองเกล้าและยิ่งใหญ่กวาดออกมา ซึ่งทำให้ฟ้าดินถึงกับโยกคลอน
มีนักรบอย่างน้อยหลายแสนคนอยู่ที่นี่!
ราวกับมีเสียงคำรามทอดยาวดังกึกก้อง กองทัพนักรบผีดิบกระจายขบวนแถวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
การเผชิญหน้ากับกระบวนทัพเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างเหล่าผู้บัญชาการยังอดกลัวไม่ได้ กองทัพที่พวกเขาเจอก่อนหน้าเทียบอะไรไม่ได้กับภาพเบื้องหน้าเลย
“ทรงพลังเกินไป ต่อให้พวกเราเทหมดหน้าตักก็ถูกเขมือบแน่” เลี่ยซันพูดด้วยสีหน้าไม่น่าดู กองทัพของพวกเขามีนักรบประมาณสองหมื่นคน แต่ศัตรูกลับมีหลายแสนบวกกับจั้นเจิ้นซือที่แท้จริงอีกคน ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย กระทั่งสามจอมพลมาที่นี่ก็คงหวาดกลัวเช่นกัน
มู่เฉินถอนหายใจเบาพลางพยักหน้า เหล่าผู้บัญชาการด้อยกว่าเขาในเรื่องการมองรัศมีจั้นยี่ ดังนั้นเขามองได้ชัดเจนกว่าได้ว่ารัศมีจั้นยี่ที่เบื้องหน้าพวกเขาทรงพลังมาก นอกจากนี้ยังมีคลื่นความผันผวนที่ประหลาดอยู่ด้วย ซึ่งทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกหนังหัวชาหนึบ ถ้าเขาคาดไม่ผิดต้องมีค่ายกลศึกที่แท้จริงอยู่ในกองทัพนี้แน่
ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหวเข้าไป จะต้องตายหมดทั้งกองทัพแน่นอน
ฟิ้ว!
ขณะที่มู่เฉินเกิดอาการลังเลในสถานการณ์ปัจจุบัน ก็มีเสียงลมแหวกอากาศขนาดใหญ่กวาดเข้ามาจากทางขวามือ พวกเขามองไปก็เห็นกองทัพขนาดใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา ก่อนที่จะหยุดอยู่นอกที่ราบเหมือนกับพวกเขา แต่เมื่อกองทัพนั้นหยุดลง มู่เฉินก็รับรู้ถึงความตกตะลึงที่พล่านไปทั่ว
“นั่นพวกหมู่ตึกเทวะ!” เลี่ยซันอุทาน “พวกมันก็มาถึงกันแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหวขณะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง เป็นตามที่เขาคาดพวกตำหนักสุดนภาก็ทำลายด่านตามมาจนถึงที่นี่ได้เช่นกัน
ในเวลาสิบกว่านาทีต่อมาก็มีกองทัพเร่งรุดเข้ามาอีกบ้าง กองทัพเหล่านี้ไม่ได้มาจากขั้วอำนาจชั้นยอด แต่กลับมีขนาดที่น่าตกใจ เมื่อมองดีๆ ถึงจะพบว่าเป็นการรวมตัวของหลายๆ กองทัพ ก่อตั้งเป็นพันธมิตร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงบุกเข้ามาถึงที่นี่ได้
แต่พร้อมกับการมาถึงของกองทัพทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ มู่เฉินกลับรู้สึกดีใจแทนที่จะตกใจ ในเมื่อมีคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ด้วย ก็อาจมีโอกาสที่จะฝ่าด่านนี้ไปได้
ขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจ ร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากฝั่งหมู่ตึกเทวะ เสียงอ่อนโยนสะท้อนไปทั่วบริเวณ
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย เราสามารถมาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์นี้หน่อยได้ไหมว่าจะผ่านไปอย่างไร?”