หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1014 หนึ่งหมัด
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1014 หนึ่งหมัด
“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”
ที่เบื้องหน้าเจดีย์ฝึกพลังกาย เมื่อแสงจางลงเงาร่างสูงโปร่งก็ปรากฏขึ้น เขายืนจ้องจงเถิงอย่างเยือกเย็นพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม ถ้านี่ไม่ใช่มู่เฉินจะเป็นใครได้อีก?
การปรากฏตัวขึ้นกะทันหันทำให้เหล่าจอมยุทธ์ที่นี่สีหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง แต่ละคนเขียนคำไม่เชื่อบนใบหน้า ท่าทางราวกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรอดชีวิตจากเจดีย์ฝึกพลังกายได้ด้วย
มั่วเฟิงและหานซันก็จ้องมู่เฉินอย่างอัศจรรย์ใจ ผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมาย มู่เฉินรอดจากหมัดน่าสะพรึงกลัวของราชันสงครามโลหิตได้อย่างไร?
“กะ…แกยังไม่ตาย?!” กระทั่งจงเถิงที่สงบอารมณ์เก่งก็ยังเบิกตาค้างมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เขาถึงกับพูดติดอ่างสามารถบอกถึงความตกใจในหัวใจของเขาได้เลย
“ต้องขอบคุณเจ้านะสิ ทุกอย่างยังดี” มู่เฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มตาหยี ทว่าในรอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้วเดียว เขาไม่คิดว่าแค่ตนหายตัวไปในช่วงเวลาสั้นๆ ชายคนนี้ก็กระโดดลงมาเล่นเสียแล้ว
ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้ม
ไม่ไกลจากกันนักจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็ตกตะลึงไป การแสดงออกน่ากลัวที่เคลือบบนใบหน้าของลู่สุยก็แข็งทื่อก่อนจะเปลี่ยนสีเป็นเขียวสลับขาว ตอนแรกเขากะจะแก้แค้นเมื่อกลุ่มของจิ่วโยวตกอยู่ในภาวะการสูญเสีย แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวออกมาเหมือนผีเช่นนี้
ขณะที่ใบหน้าของลู่สุยเปลี่ยนไป สายตาคมกริบของมู่เฉินก็กวาดมาพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้าข้าไว้ชีวิตแก แต่แกยังกล้าเสนอหน้าออกมาอีกเรอะ”
เมื่อลู่สุยได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ แสงดุร้ายวูบวาบในดวงตา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะกินมู่เฉินทั้งเป็น
“ฮ่าๆ วาจาใหญ่โตซะจริง”
จงเถิงฟื้นคืนสติในที่สุด ทว่าใบหน้าก็ยังคงมืดครึ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ในน้ำเสียงไม่ได้กลัวมู่เฉินอะไร แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินและตัวเขาก็ยังมีช่องว่างอยู่
มู่เฉินในปัจจุบันสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จงเถิงกลัว
“นอกจากนี้เจ้าต้องการให้เผ่าวิหคโลกันตร์ต่อสู้กับเผ่ากระเรียนฟ้าและเผ่าอีกาสายฟ้าที่นี่จริงหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าแน่ใจหรือว่ามนุษย์อย่างเจ้าจะรับผลที่เกิดขึ้นไหว?”
เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของจงเถิง ลู่สุยก็จำได้ว่าพวกเขามีกำลังพลจากสองกลุ่ม หากพวกเขาร่วมมือกัน การรวมตัวก็จะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มมู่เฉินมาก แล้วทำไมต้องไปกลัวคนพวกนี้?
นอกจากนี้เขาไม่คิดว่าที่แพ้ให้มู่เฉินก่อนหน้าเป็นเพราะเขาอ่อน เขาแค่ประมาทไปในช่วงเวลานั้นและทำให้มู่เฉินได้เปรียบในการลงมือก่อน สุดท้ายก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วให้เขาออกจากลานเมฆสายฟ้า เตะโด่งออกมา
ถ้าเขาทุ่มสุดตัวตั้งแต่ต้น ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเขา ต่อให้มู่เฉินจะได้เปรียบเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับอีกฝ่ายที่จะเอาชนะเขา
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกายแสงดุร้ายก็พุ่งขึ้นในดวงตาของลู่สุยเอ่ยเสียงน่าขนลุกว่า “เฮ้ คำพูดของพี่จงถูกต้อง วันนี้ข้าจะมาดูว่าแกจะทำอะไรข้าได้?!”
เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมาทันที คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบตัวขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย
เมื่อผู้คนโดยรอบเจดีย์เห็นบรรยากาศตึงเครียดก็มีสายตาแปลกประหลาดไป เผ่าอีกาสายฟ้าจะร่วมมือกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพื่อจัดการเผ่าวิหคโลกันตร์ หากเป็นเช่นนั้นชัดว่าไม่เป็นข่าวดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์เลย
“มู่เฉินยังเด็กมากเลยโอหัง… คำพูดของเขาไม่ได้เปิดเส้นทางการถอย ทำให้ลู่สุยและจงเถิงร่วมมือกันเลย…”
“ใช่ พวกเขาสองคนเป็นอัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ได้ หากพวกเขารวมพลังกัน ดูจากการรวมตัวนี้ สถานการณ์ของเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ดีแน่นอน”
“หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง มู่เฉินจะนำความอับอายไปให้เผ่าวิหคโลกันตร์มากเลยทีเดียว ลู่สุยและจงเถิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ก็ไม่ปล่อยให้เรื่องจบง่ายๆ แน่…”
“…”
เสียงกระซิบดังขึ้นขณะที่จอมยุทธ์เผ่าต่างๆ พากันส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินเลวร้ายจนนำไปสู่สถานการณ์นี้ที่อันตรายต่อพรรคพวกมาก
หากเขาพูดนิ่มนวลกว่านี้ บางทีอาจจะโน้มน้าวเผ่าอีกาสายฟ้าให้ออกไปแล้วจัดการกับเผ่ากระเรียนฟ้าก่อน ซึ่งนี่เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่เสียงสนทนาดังก้อง จงเถิงก็มองลู่สุยที่ฉายอารมณ์รุนแรงในสายตา มุมปากยกมุมโค้งโดยที่ไม่มีใครสังเกต ตอนแรกเขายังกลัวว่าลู่สุยจะถอยจากการปรากฏตัวของมู่เฉิน แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันเขากังวลมากไปเอง ที่จริงเขาควรขอบคุณมู่เฉินสำหรับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ…
“ข้าจะทำอะไรพวกแกได้บ้างเหรอ?”
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินกลับมองข้ามไป แววตาที่เย็นเยียบลงมองไปที่ลู่สุย จากนั้นรอยยิ้มที่เผยบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยไอเย็นเยียบ
จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัง!
แสงสีทองจ้าระเบิดออกมาจากร่างของมู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็หายตัวไปจากตำแหน่งเดิมทันที
จังหวะที่เขาหายตัวไป จงเถิงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป คลื่นหลิงกวาดตัวขึ้นพยายามที่จะขัดขวางมู่เฉิน
วาบ!
ทว่าขณะที่ร่างกายเขาเพิ่งจะขยับ การมองเห็นก็พร่ามัวไปวูบหนึ่ง จากนั้นแสงสายหนึ่งก็เคลื่อนผ่านร่างเขา ความเร็วที่น่ากลัวนั้นทำให้เหงื่อโชกขึ้นบนแผ่นหลังของจงเถิงทันที
ทำไมความเร็วของชายคนนี้ถึงเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้?!
ในฐานะสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้า ความเร็วคือจุดแข็งของพวกเขา แต่เมื่อกี้เขายังไม่ทันมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนไหวของร่างแสงนั่น อีกฝ่ายก็พุ่งผ่านเขาไปแล้ว
ความเร็วนี้น่าสะพรึงนัก!
ขณะที่เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนร่างกายจงเถิง ใบหน้าลู่สุยซึ่งอยู่ไม่ไกลก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นเพียงแสงสีทองกะพริบผ่านดวงตา ทว่าในเมื่อตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นเขาจึงถอยออกไปโดยสัญชาตญาณทันที ในเวลาเดียวกันก็เหวี่ยงหมัดออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผสมกับสายฟ้าทะลุผ่านมิติ
ตู้ม!
ทว่าแสงสีทองยังคงพุ่งใส่อย่างครอบงำกระแทกกับคลื่นหลิงสายฟ้า จากนั้นสายฟ้าก็แตกสลายจางหายไปทันที
วาบ!
แสงสีทองกะพริบวูบไหว ลู่สุยก็ต้องตะลึงงันเมื่อสังเกตเห็นเงาร่างของมู่เฉินมาปรากฏตัวตรงหน้า รอยยิ้มเย้ยหยันฉายบนใบหน้าอ่อนเยาว์
“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ?”
เขาเหมือนจะเปิดปากถามคำถามเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป
มวลลมใต้หมัดผันผวนไร้ซึ่งระลอกคลื่นหลิง มีเพียงแสงสีทองที่กะพริบและเสียงคำรามของมังกรคลุมเครือดังกึกก้อง จากนั้นลู่สุยก็เห็นรอยแตกปรากฏออกมาบนมิติตรงหน้า พลังงานนี้ทำให้หนังหัวของเขาด้านชาไปหมดเลย
“เป็นไปได้ยังไง?!”
ลู่สุยหวาดผวาหมัดของมู่เฉินจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขารู้สึกได้ว่ามู่เฉินไม่ได้ใช้คลื่นหลิงเลย นั่นหมายความว่าหมัดนี้เป็นความแข็งแกร่งทางพลังกายล้วนๆ
ยิ่งกว่านั้นพลังหมัดนี้ยังทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแบบเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคาม
หมัดของมู่เฉินเร็ว-แรง แต่ลู่สุยก็เร้าคลื่นหลิงทั้งหมดแบบบ้าคลั่งก่อร่างเป็นโล่ป้องกันตรงหน้าซึ่งแล่นแปลบปลาบด้วยเกลียวสายฟ้า ช่างดูราวกับอีกาสายฟ้าสยายปีกป้องกันทรงพลัง
ตึง!
กำปั้นทองคำกระแทกกับโล่สร้างเสียงสะท้อนยิ่งใหญ่ โล่ที่แข็งแกร่งก็พังทลายทันควันภายใต้สายตาตกตะลึงของลู่สุย
สายฟ้าแตกกระเซ็น กำปั้นทองคำก็ทะลุผ่านกระแทกบนหน้าอกของลู่สุยราวกับสายฟ้าฟาด พลังงานน่าสะพรึงหลั่งไหลออกมา ร่างกายของลู่สุยปลิวออกไปทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
ตลอดทางสิ่งก่อสร้างโบราณถูกทำลายจนราพณาสูร รอยยาวหลายร้อยจั้งลากไปบนพื้น
บรรยากาศโดยรอบเจดีย์ฝึกพลังกายเงียบสงัดอีกครั้ง
เสียงกระซิบก่อนหน้าเงียบไปอย่างสมบูรณ์ ทุกคนมองฉากนี้ด้วยความอึ้งทึ่ง พวกเขาจินตนาการไม่ได้เลยว่าลู่สุยที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะรับหมัดเดียวจากมู่เฉินไม่ได้
พวกเขามองไปที่ไกลก็เห็นร่างลู่สุยถูกปกคลุมไปด้วยเลือด หน้าอกยุบลง ร่างฝังลงไปในซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย…
“เป็นไปได้ยังไง…”
ทุกคนอึ้งไปขณะที่พึมพำ แม้ว่ามู่เฉยจะชนะลู่สุยในเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ก็เป็นเพราะความจริงที่มู่เฉินลงมืออย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้หลังจากที่ลู่สุยรู้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใดเขาก็ตื่นระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังพ่ายแพ้ทันทีเหมือนหมาจนตรอก
ทุกคนพูดไม่ออกและเข้าใจสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่มีความคิดที่จะแยกจัดการทีละกลุ่ม นั่นเป็นเพราะเขาสามารถเอาชนะพันธมิตรศัตรูแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันอย่างไร ก็เป็นเรื่องน่าตลกเบื้องหน้าพลังแท้จริง
จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าอึ้งไปเมื่อเห็นฉากนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะเข้าไปช่วยลู่สุย นั่นเป็นเพราะหมัดสายฟ้า ทำให้พวกเขาเข้าใจช่องว่างระหว่างสองฝ่ายอย่างถ่องแท้
ภายใต้สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ถอนสายตากลับอย่างไม่แยแส แสงสีทองบนร่างก็หดกลับ จากนั้นเขาก็ยิ้มอ่อน
“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ ไม่รู้ว่านี่เพียงพอหรือยัง?”
ทว่าเผชิญหน้ากับคำพูดของเขา ไม่มีใครตอบกลับ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ลู่สุยโดนซัดจนไม่รู้เป็นหรือตายแล้ว…
มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจอะไรลู่สุย เขาปัดมือเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองไปจงเถิงที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม
“ถึงตาแกแล้ว”