หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1020 ฉื้อหงหวู่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1020 ฉื้อหงหวู่
“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน ซึ่งมีน้ำเสียงเด็ดขาด นอกจากนี้เมื่อคลื่นเสียงสะท้อนก้องแส้ก็ฉกเข้ามาพันแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือของมั่วหลิงเอาไว้
ลำแสงที่บินไปหามู่เฉินเป็นขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวจื้อจุน
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเคลื่อนไหวรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ใครได้ตอบโต้ ดังนั้นมั่วหลิงจึงได้แต่เบิกตากว้างขณะมองแส้แฉลบเข้ามา
ทว่าขณะที่แส้กำลังจะดึงแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปคว้าแส้เอาไว้ พลังที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมา แส้ถูกกำไว้เหนียวแน่นได้ยินเสียงลั่นเปรียะแต่ก็ไม่สามารถดึงออกไปได้
เจ้าของมือนี้ก็คือมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า หลังจากจับแส้ไว้เขาก็โบกมือแรงลมพัดขวดหยกกลับไปหาเจ้าของ
“ไม่ขาย”
เขาพูดเสียงเบาปัดแส้กลับไปอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นแส้ก็ราวกับงูที่โดนตีรุนแรงยิงกลับอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงร้องต่ำในลำคอ
ตอนนี้เองมั่วหลิงก็ได้สติกลับมา ความโกรธพลุ่งพล่านในนัยน์ตา นางมองไปในทิศทางที่แส้กลับไปด้วยความกรุ่นโกรธ ก็เห็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงมองมาที่พวกนางด้วยความตกใจและโกรธเคือง
หญิงสาวชุดแดงมีเรือนผมสีแดงมองน่าหลงใหล ใบหน้าก็งดงามอย่างมาก ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงที่ไม่ปิดบัง
ความหยิ่งทะนงนี้แตกต่างจากของหลิ่วชิงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากหลิ่วชิงหยิ่งเพราะมีจงเถิงหนุนหลัง แต่ความหยิ่งทะนงของผู้หญิงคนนี้เกิดจากแก่นแท้ของตัวเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรความหยิ่งทะนงแบบนี้ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของมู่เฉิน
ดังนั้นเขาจึงมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นพูดเสียงเบาว่า “ไม่ทักท้ายสักคำก่อนเลย เจ้าไม่รู้สึกเสียมารยาทไปหน่อยเรอะ?”
หญิงสาวชุดแดงดูเหมือนจะถูกสั่งสอนเป็นครั้งแรก คิ้วขมวดแน่น แต่พอคิดถึงความไร้มารยาทที่ตนเองทำ รัศมีก็ต่ำลงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ยอมอ่อนให้ “พวกเจ้าจ่ายของเหลวจื้อจุนไปห้าแสนหยดเพื่อซื้อแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ข้าให้หกแสนหยด เจ้าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนี่”
“ไร้เหตุผล”
สายตาของมู่เฉินเย็นชาลงหลายส่วน ในคำพูดไม่ไว้หน้าหญิงสาวเลย “ไสหัวไป!”
“บังอาจ!”
หญิงสาวชุดสีแดงหัวร้อนฉ่าจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แส้ไฟในมือพุ่งออกมาซัดใส่มู่เฉินราวกับมังกรไฟ
แม้ว่าหญิงสาวชุดแดงจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่อ่อนแอ จากคลื่นหลิงที่ระเบิดออก แสดงให้เห็นว่านางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน นางก็มีฝีมือใช้ได้
สายตามู่เฉินเย็นเยือกจ้องมองไปที่มังกรไฟที่บินเข้ามาจากนั้นก็ชกหมัดออกไป ขณะที่แสงสีทองพลุ่งพล่านขึ้น หมัดก็ซัดเข้าที่มังกรไฟราวกับสายฟ้าฟาด
ปัง!
มังกรไฟระเบิดกลายเป็นประกายแสงกระจายในท้องฟ้า
แส้หม่นลงวกกลับไป หญิงสาวชุดแดงที่เห็นก็อดหดเกร็งดวงตาไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเนื่องจากมู่เฉินเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาหานางแล้ว
หญิงสาวชุดแดงแตะเท้าเบาๆ บนพื้นส่งแรงเหาะหนี ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงสีแดงก็พลุ่งพล่านรอบตัวนางกลายเป็นทะเลเพลิงพัดโหมเข้าหามู่เฉิน แม้แต่ก้อนหินบนพื้นดินก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แสดงให้เห็นถึงพลังของเปลวไฟ
วาบ!
แต่ร่างของมู่เฉินที่กำจายแสงสีทองกลับเจาะทะลุเปลวไฟไปปรากฏตัวเบื้องหน้าหญิงสาวชุดแดงอย่างลึกลับแล้วชกหมัดออกไป
ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น พลังหมัดก็แตกมิติออกจากกัน นี่ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างสิ้นเชิง มือบางวาดตราประทับวูบไหวแล้วตบออก
เปลวไฟสีแดงรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนบนฝ่ามือ ทำให้มือกลายเป็นมือลาวา จากนั้นนางก็ตวัดฝ่ามือออก อุณหภูมิที่พุ่งสูงสามารถทำลายชั้นฟ้าได้เลยทีเดียว
ตึง!
ฝ่ามือและหมัดปะทะกันจังใหญ่ คลื่นความร้อนม้วนตัวออกมาทันที
ร่างของมู่เฉินกระตุก ส่วนหญิงสาวชุดแดงก็ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว รอยฟกช้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือของนาง ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรง
ทั้งสองปะทะกันอย่างกะทันหัน แต่เมื่อหญิงสาวชุดแดงถอยร่น ทุกคนที่นี่ก็ฟื้นคืนสติ ขณะพวกเขาเห็นนางก็อุทานเสียงดังลั่น
“นั่นไม่ใช่ฉื้อหงหวู่จากเผ่าหงส์ฟ้าแดงรึ?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นไหว หญิงสาวคนนี้มาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่เป็นแขนงแยกของเผ่าหงส์ฟ้ารึ? แม้ว่าจะเป็นเพียงเผ่าย่อย แต่นางก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าแท้จริง
มิน่าล่ะนางถึงทรงพลังมาก ตามการประเมินของเขาพลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ่วโยวเลย
เมื่อครู่เหตุผลที่ทำให้เขาได้เปรียบเนื่องมาจากฉื้อหงหวู่ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ยิ่งกว่านั้นนางเลือกที่จะปะทะกันแบบซึ่งหน้า นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินเชื่อมั่นในตัวเองมาก ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบางทีอาจไม่มีใครสามารถได้เปรียบในการต่อสู้ซึ่งหน้ากับเขา แม้แต่ฉื้อหงหวู่ที่เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าแดงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ ความเจ็บปวดที่มาจากมือก็ทำให้ฉื้อหงหวู่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก
“เจ้าซ่อนตัวแนบเนียนจริง”
ฉื้อหงหวู่จ้องมองที่มู่เฉิน ริ้วแปลกประหลาดผุดขึ้นในนัยน์ตา นี่ไม่ได้เป็นแววชื่นชอบแต่เป็นไฟการต่อสู้ที่ลุกโชน เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้ชอบการต่อสู้ซึมลึกถึงแกนกระดูกเลยทีเดียว
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจนางมากนัก แม้ว่านางจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดง เขาก็ไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เขาปรายตามองฉื้อหงหวู่อย่างเย็นชาแล้วก็หันหลังเตรียมจากไป
“ฮ่าๆ หงหวู่อยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ…”
ขณะที่มู่เฉินกำลังจะไป เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังก้อง ฝูงชนเปิดทาง คนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา
ผู้นำเป็นชายสวมชุดขาวหน้าตาหล่อเหลามือข้างหนึ่งถือพัดเอาไว้ จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏเขาดูราวกับบัณฑิตอ่อนแอ แต่ประกายแสงที่วาววัวในดวงตากลับคมกริบประหนึ่งใบมีด
เมื่อชายสวมชุดขาวปรากฏ ใบหน้าของมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินก็กลายเป็นไม่น่าดู
มู่เฉินเหลือบมองไปที่คนมาใหม่ก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มปัญหาขึ้น เขาหันหลังกลับเดินออกไป
“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนซัดกระบวนท่าใส่ฉื้อหงหวู่ใช่ไหม? งั้นข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าเพิ่งขยับจะดีกว่า” ทว่าเมื่อมู่เฉินกำลังหันหลัง เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังขึ้น
มู่เฉินเอียงหัวมองไปที่ชายชุดขาวที่คลี่พัดโบกไปมา พัดนี้ทำให้เกิดความเย็นยะเยือกกวาดออก ทำเอาอากาศตกไปยังจุดเยือกแข็ง ขณะนี้สายตาไม่แยแสของอีกฝ่ายมองมาที่เขาอย่างเย็นชาราวกับเป็นอสรพิษ
“ไป๋ปิง เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นชายคนนี้ คิ้วก็ขมวดเป็นปมพลางตะเบ็งเสียงใส่
เมื่อชายสวมชุดสีขาวได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มเรียบแล้วมองไปยังฝั่งของมู่เฉิน สายตาของเขาอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ยกขึ้นที่มุมปาก “เฮ้ ไม่คิดว่าข้าจะได้มาเจอลูกนอกกฏหมายพวกไข่เน่าที่นี่…”
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่มั่วเฟิงก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารแรงกล้ามองไปยังชายชุดขาว
ฉื้อหงหวู่อึ้งไป จากนั้นก็มองมั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะนางรู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากทั้งคู่ ที่แท้ทั้งสองคนมีสายเลือดหงส์ฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าทำไมนางไม่เคยเห็นพี่น้องคู่นี้มาก่อน
“หงหวู่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของไอ้ไข่เน่าสองใบนี้เป็นสายเลือดสูงส่งในเผ่าของเรา แต่เขาดันไปร่วมคู่กับหญิงสาวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ทำให้สายเลือดแปดเปื้อน ผู้อาวุโสโกรธแค้นมาก พวกเขากักขังบิดาของพวกมันไว้ที่ใต้ภูเขาเฮย ตอนแรกพวกมันสองคนก็จะถูกกักขัง แต่มีบางคนพยายามไกล่เกลี่ยให้ พวกเขาถึงหนีไปได้หลายปี” ไป๋ปิงหัวเราะเบาๆ
ตอนนี้ฉื้อหงหวู่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่านางไม่ได้สนใจมาก ในเมื่อมีใครบางคนช่วยไกล่เกลี่ย นั่นก็หมายความว่าอนุญาตให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้นางไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจอะไร แต่ไป๋ปิงกลับปากเลวยิ่งนักที่เรียกพวกเขาว่าไข่เน่าตลอดเวลา
ไป๋ปิงมองใบหน้ามืดมนของมั่วเฟิงพลางยิ้ม “ดูเหมือนพวกเจ้าพี่น้องจะซ่อนตัวอยู่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ มิน่าล่ะถึงไม่มีข่าวคราวใด แต่ตอนนี้พวกแกกล้ามากที่ออกมา”
ขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “แกเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”
“สองคนนั้นเป็นสายเลือดสกปรกของเผ่าข้า การที่แกซ่อนพวกเขาไว้ก็หมายความว่าแกเป็นศัตรูของเผ่าข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ให้อภัยกับเรื่องในอดีต นี่สามารถแก้ไขได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าพูดเสียงเบาว่า “ยกให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยไข่เน่าสองใบนี้ไป”
มู่เฉินหรี่ตาลงมองมั่วเฟิงที่มีสีหน้าไม่น่าดู ก่อนที่จะมองไปที่มั่วหลิงที่ถูกเรียกว่าไข่เน่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนดวงตาขึ้นริ้วสีแดงดูน่าสงสาร ในใจก็เริ่มรู้สึกโกรธคลั่งขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองที่ไป๋ปิง สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าผ่า
“ไสหัวไป!”