หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1026 จิงเลี่ย
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1026 จิงเลี่ย
เบื้องหน้าป่าขาวโพลน
ผู้นำกลุ่มหมาป่าเวหะจ้องมองพวกมู่เฉินด้วยตาสีแดงก่ำ ความคมปลาบในดวงตาประหนึ่งใบมีดที่ต้องการกรีดแทงร่างคนไป
“ฮ่าๆ พี่ฮั่วไม่ต้องกังวล พวกเขาเป็นสหายจากเผ่าวิหคโลกันตร์ เป็นพันธมิตรของข้า” หานซันยิ้มพลางอธิบาย
“พันธมิตร?”
ฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะขมวดคิ้วขณะหัวเราะเสียงเย็น “หานซัน เจ้าคิดว่ามีสมบัติล้ำค่ามากมายจากอสูรโบราณโภคะเรอะไง? คนมากขึ้นก็หมายความว่าส่วนแบ่งจะมากขึ้นตาม ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
หานซันพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “พี่ฮั่วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อข้าเป็นคนชวนพวกเขามา ก็แบ่งในส่วนของข้า ไม่ไปแตะต้องของพวกเจ้าหรอก”
เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของหานซันสีหน้าก็ดูดีขึ้น ทว่าเขายังคงมองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย อึดใจมุมปากดึงขึ้นพร้อมกับแววตาเหยียดหยาม
ชัดว่าเขารู้สึกได้แล้วว่าในกลุ่มนี้ มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนอีกสองคนยังอยู่ขั้นหกเท่านั้น
พลังแค่นี้ยังกล้ามาที่สุสานหมื่นอสูร ดวงตามืดบอดด้วยความโง่เขลาอย่างแท้จริง
การดูถูกในสายตาของฮั่วหยังไม่ได้ปิดบัง ดังนั้นพวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ ทว่าพวกเขาไม่ได้โกรธ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางจะสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าหมาป่าเวหะแม้แต่น้อย
มู่เฉินกวาดตามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน สี่คนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด การรวมตัวของพวกเขาเทียบได้กับเผ่าแรดอสูรเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ทุ่มความพยายามอย่างมากสำหรับการเดินทางมาเพื่ออสูรโบราณโภคะ
เนื่องจากความยากลำบากในการส่งจอมยุทธ์เพิ่มเติมเข้ามาจะยากขึ้น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ยังส่งมาได้เพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่ามีเหตุผลที่ไม่อยากส่งสมาชิกเผ่าที่มีกำลังอ่อนแอเข้ามาด้วย เพราะมีอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่มีจำนวนมากเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาคุณภาพป้อนเข้ามาไม่ใช่ปริมาณ
แต่ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งสี่คนของเผ่าหมาป่าเวหะ นอกเหนือจากฮั่วหยังที่ทำให้มู่เฉินค่อนข้างคาดหวัง คนที่เหลือเขาก็กวาดตามองผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสของเขาบอกว่าทั้งสามคนมีพลังคล้ายคลึงกับลู่สุยเผ่าอีกาสายฟ้า หากเขาเผชิญหน้ากับพวกเขาก่อนที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ก็อาจจะลำบากไปบ้าง แต่ตอนนี้…เป็นเรื่องง่ายดายมาก
“พี่ฮั่วหยังสถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง?” หานซันยิ้ม
ฮั่วหยังเบ้ปาก “เผ่าราชสีห์ทองคำมาถึงก่อนครึ่งวันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าลึกเกินไป ข้างในจำนวนของอสูรวิญญาณเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“เผ่าราชสีห์ทองคำเคยส่งข้อความมาถึงพวกเรา บอกว่าจากการตรวจสอบของพวกเขาจำนวนอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดในสุสานเพิ่มมาเป็นสิบห้าร่างแล้ว”
เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็อดจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไม่ได้ อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบห้าร่าง ยากสำหรับเผ่าเดียวที่จะทำลายทั้งหมดด้วยตัวเอง
“จุดประสงค์ของเผ่าราชสีห์ทองคำคือร่วมมือกันจัดการกับอสูรวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาตัดสินเรื่องสมบัติหลังจากไปถึงขุมทรัพย์แล้ว” ดวงตาสีแดงของฮั่วหยังเหลือบมองไปที่หานซันขณะที่พูด
“ร่วมมือรึ?”
หานซันยังไม่ตอบคำถามนั้นแต่กล่าวว่า “เราไปดูกันก่อน”
หลังจากที่พูดจบ ก็พาทุกคนเข้าป่าอย่างรวดเร็ว
ที่ด้านหลังฮั่วหยังมองร่างเงาของพวกเขาด้วยแวววูบไหว จากนั้นก็โบกมือติดตามไปอย่างรวดเร็ว
พืชพันธุ์ในป่าเป็นสีขาวซีดปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของรัศมีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สามารถหยุดกระแสเลือดในร่างกายได้เลยทีเดียว
ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก พวกเขาเหาะเหินมาอย่างรวดเร็วก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนจะเริ่มชะลอตัวลง ป่าที่เบื้องหน้าเริ่มบางตาถูกแทนที่ด้วยเนินเขาสูงชัน กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนก้อนหินสีเทาอ่อนมองลงไปที่หุบเหวขนาดใหญ่ใต้เนินเขา
ต้นไม้ที่นี่มีสีดำสนิทเนื่องจากถูกกัดกร่อนรุนแรงจากรัศมีความตาย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์อสูร มองเห็นเงาวูบไหวเลือนราง
“นี่คือที่ที่อสูรโภคะละสังขาร” หานซันชี้ไปทางหุบเหว พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินเพ่งมองไป รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวแปรสภาพเป็นชั้นเมฆสีเทาเหนือปากเหว พื้นที่ทั้งหมดไม่มีสัญญาณพลังชีวิตเลย
ทิวทัศน์นี้แสดงถึงอันตรายอย่างยิ่งของสุสานหมื่นอสูร เมื่อจอมยุทธ์ธรรมดาเห็นฉากนี้ก็จะรีบเผ่นออกไปให้ไกล หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญแม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ ก็คงไม่สามารถค้นพบสุสานอสูรโบราณโภคะที่ซ่อนอยู่ที่นี่ได้
ขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่ แสงสีทองก็กะพริบในระยะไกลเสียงลมแหวกอากาศดังก้อง ทันใดนั้นสีหน้าหานซันก็ตื่นตัว
แสงสีทองเหล่านั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาแสดงตัวแรงกดดันทรงพลังก็พล่านออกมาจากร่างที่กำยำ
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นจอมยุทธ์หกคนที่มา ทั้งหมดมีรูปร่างกำยำล่ำสัน เรือนผมสีทอง มีอักขระสีทองจางๆ บนใบหน้าพวกเขา ในดวงตาสีทองความเย่อหยิ่งและความกดดันที่ไม่อาจปกปิดได้กวาดออก
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าราชสีห์ทองคำ
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำปรากฏตัว จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็เพิ่มความระมัดระวัง ร่างกายตึงเครียดขึ้นมาทันที คลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวขณะจ้องมองอีกฝ่าย
ใบหน้าหานซันยังคงสงบนิ่ง เขามองเบื้องหน้าเผ่าราชสีห์ทองคำ ผู้นำคนนี้เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายราวกับเหล็กกล้าที่มีแสงสีทองวับวาวอยู่ใต้ผิวหนัง เขาส่งแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกจากร่างกายไม่รู้จบ
“จิงเลี่ย…เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มราชสีห์ทองคำครั้งนี้จริงด้วย” หานซันจ้องมองชายร่างกำยำก็พูดขึ้นช้าๆ
จิ่วโยวหันมากระซิบบอกมู่เฉิน “มีจอมยุทธ์โดดเด่นสองคนในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าราชสีห์ทองคำ ที่รู้จักกันในฉายาวีรบุรุษคู่ทองคำ จิงเลี่ยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้มาในครั้งนี้”
มู่เฉินพยักหน้า แรงกดดันที่จิงเลี่ยส่งออกมานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปคงไม่สามารถเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าพลังกายของจิงเลี่ยได้ผ่านการเพาะบ่มจนทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย
เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดของหานซันก็แสยะยิ้มพร้อมเผยให้เห็นฟันสีขาวไข่มุกที่สาดไอเย็นเยือก เขาจ้องมองหานซันด้วยสายตากดดัน ก่อนจะหยุดอยู่ที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง
“หานซัน เจ้าไม่มั่นใจในกลุ่มของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ ยอมปล่อยให้คนอื่นมีส่วนร่วมในโอกาสแบบนี้ด้วยเรอะ?” จิงเลี่ยฉายยิ้มเยาะเย้ย
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดเบาๆ ว่า “พวกข้าแค่ได้รับเชิญมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ”
จิงเลี่ยยิ้ม “การรวมตัวแบบนี้ยังกล้ามา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหยิ่งหรือโง่กันแน่?”
“หยิ่งหรือโง่ ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มบาง
“ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกมีสิทธิ์พูดที่นี่เรอะ?” ยืนอยู่ข้างหลังจิงเลี่ย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเผ่าราชสีห์ทองคำก็โพล่งออกมา
จิงเลี่ยโบกมือหยุดพรรคพวกไว้ ทว่าสายตาไม่ได้มองมู่เฉินสักแวบ ชัดว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจำเป็นต้องให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก
“หานซัน เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน… จากการสำรวจของพวกข้ามีอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่ที่นี่ประมาณสิบกว่าร่าง บวกกับอสูรวิญญาณอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการผ่านไปได้ตามลำพัง”
จิงเลี่ยมองหานซันขณะที่พูดต่อ “เรื่องนี้เผ่าหมาป่าเวหะก็เข้ามาสำรวจแล้วเช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปสำรวจดูเองได้”
พวกฮั่วหยังที่ตามมาด้านหลังก็พยักหน้า
หานซันมองไปยังบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่นก็ขมวดคิ้ว ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะเขารู้สึกได้คลุมเครือว่ามีอสูรวิญญาณที่น่ากลัวอยู่มากมาย
“พี่มู่ เจ้ามีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?” หานซันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปถามความคิดเห็นมู่เฉิน
พอจิงเลี่ยและฮั่วหยังเห็นว่าหานซันไม่ได้ถามจิ่วโยวกับมั่วเฟิง แต่กลับหันไปหามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานซันถึงสุภาพกับมู่เฉินขนาดนั้น
มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวแล้วพยักหน้า
เมื่อเห็นการตอบสนองนี่ หานซันก็พยักหน้าให้จิงเลี่ย “เราจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดอสูรวิญญาณก่อน สำหรับเรื่องสมบัติค่อยแบ่งกันหลังจากที่ผ่านตรงนี้ไป”
เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า ทั้งสามกลุ่มวางแผนจัดสรรพื้นที่และจำนวนของอสูรวิญญาณ
“ในเมื่อทุกคนเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยเถอะ”
จิงเลี่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดโดยไม่ชักช้า เมื่อแจกแจงรายละเอียดเสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นำพรรคพวกทะยานออกไปทันที
“เราก็ไปก่อน เดี๋ยวมารวมตัวกันหลังจากจัดการเรียบร้อย”
ฮั่วหยังพูดขึ้นพร้อมกับนำพรรคพวกออกไป
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
เมื่อหานเห็นสองกลุ่มออกตัวไป เขาก็พูดกับมูเฉินก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปที่เหวสีดำสนิทเบื้องล่าง
มู่เฉินตามไปที่ด้านหลังดวงตาหรี่ลงมองไปที่ทิศทางกลุ่มราชสีห์ทองคำและหมาป่าเวหะที่จากไป ก่อนจะเอามือไพล่หลัง แอบส่งสัญญาณมือให้พรรคพวก
ระวัง
ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ประกายแสงวาบผ่านดวงตาขณะที่ผงกหัวเบาๆ
ศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะในครั้งนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้แล้ว