หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1029 ค่ายกลเทพเผาผลาญ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1029 ค่ายกลเทพเผาผลาญ
กระแสความตายพุ่งผ่านป่า
เงาร่างนับไม่ถ้วนลอยหวือไกลออกไป สติปัญญาของพวกมันไม่สามารถคิดได้ว่าทำไมเป้าหมายที่เล็งไว้ถึงหายวับไปกะทันหันแบบนี้…
เบื้องหลังความวุ่นวาย หานซันและคนอื่นๆ ที่มองฝูงอสูรวิญญาณจำนวนมากพุ่งออกไป ร่างกายตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง อึดใจจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็นั่งแปะลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดปากสั่น
ตอนที่กระแสความตายพุ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าจะถึงที่ตายแน่แล้ว
“พี่มู่…ขอบ-คุณ-มาก” หานซันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าฉายความยินดีหลังจากหายนะครั้งนี้ผ่านพ้นไป เขามองไปที่มู่เฉินพลางพูดขอบคุณจากใจ
ครั้งนี้หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาอาจโดนไล่จนกลายเป็นหมาจนตรอกเลยก็ได้
มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ลอง ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ”
หานซันไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดมู่เฉิน เขาเข้าใจนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง ถ้าชายคนนี้ไม่มีความมั่นใจพอสมควรก็ไม่มีทางเสี่ยงชีวิตของตนลองทำอะไรแบบนี้แน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาก็ปีนออกมาจากปากเหวความตายได้แล้ว
“ด้วยค่ายกลนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระในสุสานหมื่นอสูรหรือ?” มั่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราพบยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงการรับรู้ได้ แต่ถ้าเราพบวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ วิธีนี้ก็คงไม่ได้ผลแล้ว”
เขาตระหนักถึงปัจจัยนี้แล้วก่อนหน้า ตอนที่ฝูงอสูรวิญญาณเคลื่อนผ่านไป เขารู้สึกชัดเจนว่าอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดละล้าละลังชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากความเร่งรีบที่ผลักมาจากด้านหลัง พวกมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับฝูง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก
ดังนั้นมู่เฉินจึงอนุมานได้ว่าอสูรวิญญาณที่มีพลังสูงขึ้นก็จะมีการรับรู้ที่ดีเยี่ยมขึ้นเช่นกัน ถึงตอนนั้นหากพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ค่ายกลก็คงฝันหวานเกินไป
เมื่อฝูงอสูรวิญญาณจากไปไกล มู่เฉินก็สะบัดนิ้วมือ ค่ายกลที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ก็สลายลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาก็เงยขึ้นมองไปที่ยอดไม้
ตรงนั้น จิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่เต็มไปไอเข่นฆ่าจ้องมาที่เขา
“ดูท่าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังซะแล้ว…” มู่เฉินมองไปที่อีกฝ่ายที่มีใบหน้ามืดครึ้มลง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าเขา
“ฮา ไม่คิดว่าจะมีหลิงเจิ้นซืออยู่ในกลุ่มพวกเจ้าด้วย…คิดไม่ถึงจริงๆ” จิงเลี่ยมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน สาดยิ้มเย็นชา
สายตาของหานซันก็เย็นชาลงขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายพลางแสยะรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าคาดไม่ถึงนะ…จิงเลี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถครองสมบัติของอสูรโภคะได้คนเดียวแล้ว”
“งั้นหรือ?”
จิงเลี่ยยกเปลือกตาก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “หานซัน แกคิดว่าสามารถท้าทายข้าได้ หลังจากหลบจากความตายมาได้งั้นหรือ? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากอสูรวิญญาณแล้วไง? ด้วยคนแค่นี้ของแกคิดว่าจะล้มพวกข้าได้เหรอ?”
การรวมตัวระหว่างสองกลุ่มทำให้พวกเขามีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบคน ขณะที่พวกมู่เฉินมีแค่ครึ่งเท่านั้น หากเปิดศึกกันชัดว่าพวกเขาได้เปรียบแน่นอน
“งั้นลองหน่อยไหมล่ะ?” หานซันท้าทาย พวกเขาอาจจะไม่ได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ชัยชนะเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพ จิ่วโยวและมั่วเฟิงต่างเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงกับเขาได้ นับว่าโดดเด่นแม้แต่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่พวกทั่วไปสามารถจัดการได้
นอกจากนี้พวกเขายังมีมู่เฉินซึ่งไม่สามารถประเมินกำลังการต่อสู้ได้ การเผชิญหน้ากับคนที่ครั้งหนึ่งเคยชนะลู่สุยด้วยกำปั้นเดียว แม้แต่หานซันยังรู้สึกกลัวในใจ
จากการคาดการณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสี่ถึงห้าคนก็ไม่สามารถได้เปรียบเขา
จิงเลี่ยมองหานซันพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินชื่อหานซันแห่งเผ่าแรดอสูรมานาน ดูเหมือนว่าข้าจะได้ลิ้มรสในวันนี้แล้ว”
เขาเอ่ยชื่อว่าจะต่อกรกับหานซัน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะจัดการกับอีกฝ่าย
“ปล่อยจิ่วโยวเผ่าวิหคโลกันตร์มาให้ข้า” ฮั่วหยังมองจิ่วโยวอย่างดุดัน ในมุมมองของพวกเขามีเพียงหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่สมควรที่จะให้ความสำคัญ ส่วนคนที่เหลือไม่มีอะไรน่ากังวลเลย
สำหรับไอ้บ้าที่ตั้งค่ายกลก่อนหน้านี้ก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น สามารถฆ่าได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกมือเสียอีก
“จิงกังพาอีกคนไปจัดการกับคนนั้น” จิงเลี่ยหันไปมองชายผมสีทองก็พูดเสียงเบา คนที่เขาพูดถึงเป็นมั่วเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจิงเลี่ยมีร่างกำยำราวกับว่าทำมาจากโลหะ ผิวของเขาออกสีทองเหลือง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับวีรบุรุษคู่ทองคำได้ แต่เขาก็มีชื่อเสียงเช่นกัน เมื่อบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะมั่วเฟิงได้ แต่การรั้งไว้ก็น่าจะไม่ยาก
“รับทราบ!”
จิงกังยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว สายตาคมชัดราวกับใบมีดจับจ้องไปที่มั่วเฟิง
ทว่าเผชิญหน้ากับการจ้องมองราวกับหมาป่านั้น มั่วเฟิงก็ยังคงแสดงออกอย่างเฉยเมย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ
“อีกห้าคนไปจัดการพวกมันที่เหลือซะ” จิงเลี่ยพูดอย่างไม่แยแส นอกเหนือจากหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแล้ว อีกฝ่ายยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอีกหยิบมือ การส่งจอมยุทธ์ห้าคนไปน่าจะสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
จิงเลี่ยแจกจ่ายงานให้พรรคพวกอย่างรวดเร็ว ดูจากการแบ่งงานก็น่าจะปราบปรามกลุ่มหานซันได้อย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าจิงเลี่ยมีความมั่นใจในชัยชนะ
จิงเลี่ยยืนเอามือไพล่หลัง สายตาเยาะเย้ยมองหาหานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ “ถ้าข้าเป็นพวกเจ้าก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอสูรวิญญาณได้แล้วไง? ก็ยังส่งตัวเองไปที่ปากหลุมความตายอยู่ดี”
ฮั่วหยังยืนอยู่ข้างจิงเลี่ยก็ยิ้มเย้ยหยันพลางมองไปที่กลุ่มหานซันด้วยความสงสาร ชายคนนั้นคิดว่าที่เขาบอกว่าชอบทำงานกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเป็นการพูดเล่นรึ?
เผ่าราชสีห์ทองคำเตรียมตัวมาดี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หานซันจะสั่นคลอนได้
หลังจากแจกจ่ายงานเสร็จ จิงเลี่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นแสงสีทองมาปรากฏตัวไม่ไกลจากหานซัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมา สายตาที่ดุร้ายราวกับสิงโตแฝงกลิ่นคาวเลือดหนาแน่นพุ่งไปที่หานซัน
“หวังว่าแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากนะ” จิงเลี่ยพูดเบาๆ
สีหน้าของหานซันเหี้ยมเกรียมลง เขายิ้มไม่ได้ตอบอะไร แต่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลับระเบิดออกมาจากร่างราวกับภูเขาไฟ ก่อรูปร่างเป็นแรดดึกดำบรรพ์ที่กำจายรัศมีดุร้ายเชี่ยวกราก
จังหวะที่จิงเลี่ยเผชิญหน้ากับหานซัน ฮั่วหยังก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยว
จิ่วโยวกวาดสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย ไม่พูดโต่ตอบให้เมื่อยปาก เปลวไฟสีม่วงลุกลามบนเรียวแขน
วาบ!
จิงกังนำจอมยุทธ์อีกคนประกบข้างมั่วเฟิงพลางยิ้มกริ่ม แม้ท่าทางจะดูซื่อ แต่สายตาก็ดุร้ายมาก “อยู่นิ่งๆ ซะเถอะ”
เวลาเดียวกันจอมยุทธ์ห้าคนก็สร้างค่ายกลรูปพัด ก่อนที่จะทะยานออกไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน มั่วหลิงและจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร สายตามีแต่ความเย้ยหยัน
ในสายตาพวกเขา มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนของเผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ถือว่าพอใช้ได้ สำหรับมู่เฉินและมั่วหลิงไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย
“พี่มู่ พวกข้าจะจัดการสามคนนั่น ที่เหลือปล่อยให้พวกเจ้าจัดการนะ” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองมู่เฉินและพูดอย่างสุภาพ
หลังจากได้เห็นพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาสู้กับอีกฝ่ายก็เป็นเพียงการหาความอัปยศให้กับตนเอง
มู่เฉินไม่ตอบแต่สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่จอมยุทธ์เหล่านี้ สายตาพุ่งตรงไปในระยะไกล นอกจากจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะยังเหลือจอมยุทธ์อีกสามคนนั่งอยู่ข้างสนาม
แต่ความผันผวนของพลังงานรอบตัวทั้งสามก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรเพราะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจิงเลี่ยไม่ได้ให้พวกเขาเคลื่อนไหว
สายตาคมกริบของมู่เฉินกวาดผ่านทั้งสามก่อนที่จะถอนออกมาด้วยแววตาวูบไหว จากนั้นเขาก็โบกมือให้จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสาม “พวกเจ้าถอยไปเถอะ ปล่อยพวกมันให้ข้า”
เอ่อ…
เมื่อเขาพูดไม่เพียงแต่จอมยุทธ์ทั้งห้าที่พุ่งเข้ามาจะอึ้งไป แม้แต่จอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เขาคิดจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคนด้วยตัวเองเหรอ?
นี่อาจเป็นเรื่องยากแม้กระทั่งสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดเลยมั้ง?
“หึ… รนหาที่ตายจริงๆ”
อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะโบกมือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ “ฆ่ามันซะ”
ในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินชัดว่าเป็นการโอ้อวด ซึ่งโง่มาก
ทั้งห้ามีสายตาแปลกประหลาดมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารบนใบหน้า ชายคนนี้บ้าไปจากการถูกบังคับให้อยู่ในความสิ้นหวังเรอะ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าสงสารจริงๆ
หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้พวกเขาจะรู้ถึงพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินว่าไม่ธรรมดา แต่จะยากเกินไปไหมที่เขาจะจัดการกับจอมยุทธ์ห้าคน?
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยในใจ แต่หานซันก็ยังพยักหน้าให้พรรคพวก เนื่องจากความไว้ใจ
ดังนั้นทั้งสามจึงถอยกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ยังไงหากสถานการณ์ดูไม่ดี พวกเขาก็สามารถกระโจนเข้าไปช่วยได้ ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาไม่น่าจะเป็นอะไร
จอมยุทธ์ทั้งห้าถลกแขนขึ้น มองไปที่มู่เฉินคล้ายกับมองลิงติดบ่วง ไม่มีท่าทางรีบร้อน สายตาเยาะเย้ยถากถาง
ทว่ามู่เฉินยังยืนนิ่งอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาหลับลง
อีกมุมหนึ่งเมื่อจิงเลี่ยเห็นท่าทางของมู่เฉิน เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่ความรู้สึกทะลักเข้ามาในใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างออก ใบหน้าเปลี่ยนไป “ฆ่ามัน มันกำลังตั้งค่ายกล!”
ทั้งห้าที่กำลังฉายรอยยิ้มบนใบหน้าก็สีหน้าเปลี่ยนทันที คลื่นหลิงทะลักออกมาจากร่าง
แต่จังหวะนั้นมู่เฉินก็ลืมตา มองไปที่ทั้งห้าที่พุ่งพรวดเข้ามา ก็เผยให้เห็นแววเยาะเย้ยที่ริมฝีปาก
“ไอ้พวกโง่ซ้ำซ้อน…”
หลังจากพูดจบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับร้อยนับพันก็บินฉวัดเฉวียนออกมาจากนิ้วมือ รวมเข้ากับฟ้าดินอย่างรวดเร็ว
ครืน!
ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นหลิงระเบิดราวกับพายุทอร์นาโด
มู่เฉินสะบัดนิ้วทั้งสิบ เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปาก
“ค่ายกลระดับเทียน ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”