หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1030 ต้นหญ้า
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1030 ต้นหญ้า
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรุนแรงกวาดออกราวกับพายุในบริเวณนี้ ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ลวดลายแสงนับไม่ถ้วนกระจายออกราวกับใยแมงมุมที่มีจุดกำเนิดจากมู่เฉิน ไม่กี่อึดใจก็ครอบคลุมรัศมีพันจั้ง
ลวดลายแสงถักทอกันแล้วก่อตัวเป็นลวดลายลึกซึ้งในค่ายกลนี้พร้อมกับเกลียวแสงที่ทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว
มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกล ลวดลายแสงสะท้อนในม่านตาสีดำทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง ค่ายกลระดับเทียนที่เขาสร้างขึ้นนี้มีพลังทรงประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาค่ายกลที่มั่นถัวหลัวมอบให้ ขณะเดียวกันก็เป็นค่ายกลที่สร้างยากที่สุด
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ปรากฏตัว เขาก็แอบเตรียมการเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์ห้าคนที่โง่เง่าที่ยืดเวลาให้กับเขา ดังนั้นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีจึงถูกวางลงอย่างสมบูรณ์
การมีค่ายกลล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้ เขาก็อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง
ฟิ้ว!
แต่ชัดว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ พวกเขาพุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดุร้าย แสงดุร้ายในดวงตาราวกับต้องการฉีกมู่เฉินเป็นชิ้นๆ
ทั้งห้าเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน แรงที่ส่งออกมาทำเอาสั่นสะเทือนฟ้าดินไปหมด พลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ฝ่ามือทั้งห้าจะกระแทกลงไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว
ฮึ่ม!
ภายในค่ายกลเทพเผาผลาญ เสียงครางกระหึ่มสะท้อนก่อนที่แสงสีแดงเข้มสายหนึ่งจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ยิงเข้าใส่จอมยุทธ์คนหนึ่ง
เมื่อลำแสงควงสว่านลงมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็สัมผัสได้ ทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะชักช้า คลื่นหลิงภายในร่างกายเร้าออกมาอย่างรุนแรง คลื่นพลังงานไร้ขอบเขตก่อร่างเป็นสิงโตทองคำขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขากลับสู่ร่างเทพอสูรแล้ว
โฮก!
สิงโตทองคำคำรามลั่นท้องฟ้า สั่นสะเทือนชั้นฟ้าไปหมด ลำแสงที่ดูเหมือนทำจากทองคำพุ่งออกมาทะยานไปยังลำแสงสีแดงเข้มสายนั้น
ฟิ้ว!
แสงสีแดงเข้มพาดผ่านไปอย่างเงียบๆ ลำแสงสีทองที่ดูทรงพลังกลับถูกแยกออกทันที ไม่สามารถขัดขวางลำแสงสีแดงเข้มได้แม้แต่เล็กน้อย
ลำแสงสีทองขาดกระจุย ใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความกลัวเพิ่มขึ้นรีบถอยหนีจ้าละหวั่น
ฮึ่ม!
แต่ในทันทีที่ร่างเงานั้นถอยออกไป แสงสีแดงเข้มก็ทะลุผ่านมิติซัดลงไปที่หัว…
ชี่!
เสียงแสบแก้วหูดังก้อง ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็แข็งทื่อ สีหน้าแข็งค้าง อึดใจรอยเลือดก็ผุดขึ้นหว่างคิ้ว ก่อนที่จะกระจายออก…
ร่างจอมยุทธ์คนนั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วน ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวหายวับไปกับตา
ในเวลาไม่กี่อึดใจจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกฆ่าตาย
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่สร้างอาการขวัญหนีดีฝ่อให้จอมยุทธ์อีกสี่ที่กำลังพุ่งเข้ามา แม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไป ใบหน้าฉายความไม่อยากเชื่อ
ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะถูกสังหารในพริบตา…
ไกลออกไปม่านตาจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็หดลง ในเวลานี้แม้จะเป็นคนใจเย็นก็ยังไม่สามารถระงับหัวใจที่เต้นรัวได้
แม้ว่าคนที่ถูกสังหารจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป ถ้าในแง่การลงมือโจมตีจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าหากพวกเขาต้องการทำให้สำเร็จง่ายดายเหมือนกับมู่เฉินก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
“ค่ายกลระดับเทียน?!”
ใบหน้าของจิงเลี่ยเคร่งเครียดอย่างที่สุด ก่อนจะเขม่นมองใบหน้าของมู่เฉิน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจอมยุทธ์อย่างหานซันจึงสุภาพต่อมู่เฉินนัก ที่แท้ชายคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าซือที่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนได้
“ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าจะมองผิดไปเยอะนะ” เมื่อหานซันที่กำลังเผชิญหน้ากับจิงเลี่ยได้เห็นฉากนี้ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
จิงเลี่ยเค้นเสียงเย็นแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก มีเพียงสายตาที่สั่นไหว เขาต้องยอมรับว่าครั้งนี้ตัดสินใจผิดพลาดไป มู่เฉินคงจะเป็นตัวแปรสำคัญ
แต่ไม่ว่าอย่างไร สมบัติของอสูรโบราณโภคะจะต้องเป็นของเผ่าราชสีห์ทองคำ เขาไม่มีทางยอมให้คนอย่างมู่เฉินทำลายแผนแน่
ขณะที่ความคิดนี้ไหลเวียนอยู่ในใจของจิงเลี่ย มู่เฉินก็ปรายตามองคนตายอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปหาอีกสี่คนที่เหลือ
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสี่เห็นการจ้องมองของมู่เฉินก็รู้สึกว่าหนังหัวชาดิก อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว จุดที่ลวดลายเกี่ยวพันกัน เหมือนจะมีแสงสีแดงเข้มรวมตัวกันอีกครั้ง
ประจักษ์สายตากับพลังของแสงนี้ไปแล้ว เห็นชัดว่าพวกเขาก็ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
ฮึ่ม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับอาการตกตะลึงของใคร เขาพลิกนิ้ว เส้นใยแสงสีแดงเข้มอีกสายก็รวมตัวกันหมุนคว้าง แม้จะดูคลุมเครือ แต่ก็มีความผันผวนที่น่ากลัวอย่างมากแผ่ออกไป
แสงนี่รู้จักกันในชื่อแสงเทพเผาผลาญ ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุดของค่ายกลเทพเผาผลาญ ค่ายกลชนิดนี้ใช้วิธีการที่ลึกซึ้งในการแปลงและบีบอัดคลื่นหลิงกลายเป็นแสงเทพเผาผลาญ แสงนี่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ สามารถแยกมิติออกจากกันได้เลยทีเดียว
ข้อเสียอย่างเดียวก็คือความยากลำบากในการกลั่นแสงเทพเผาผลาญสูงเกินไป กระทั่งมู่เฉินที่เตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายเพื่อยกระดับพลังของคลื่นหลิงให้สูงสุด แต่ค่ายกลก็เพียงกลั่นเส้นใยแสงเทพเผาผลาญได้น้อยนิดเท่านั้น
แต่ก็มากพอแล้วที่จะจัดการกับคนเหล่านี้
ไม่มีริ้วคลื่นในดวงตาของมู่เฉิน อึดใจนิ้วมือเขาก็แตะลง แสงเทพเผาผลาญบีบกดลงมาอีกครั้ง
สีหน้าจอมยุทธ์ที่เหลือเปลี่ยนไปรุนแรง ครั้งนี้พวกเขาไม่มีความคิดสกัดอีกแล้ว เลือกถอยกลับออกไปทันทีโดยไม่ลังเล
ฟิ้ว!
แต่การล่าถอยของพวกเขาไร้ความหมายสิ้นเชิง แสงเทพเผาผลาญเจาะทะลุมิติอีกครั้ง ทะลวงเข้าไปที่หว่างคิ้วของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำลายจุดจื้อจุนไห่และพลังชีวิตทั้งหมดในตัว
รอยเลือดปรากฏตรงหว่างคิ้ว ท่าทางแข็งทื่อจากนั้นก็หน้าทิ่มลง
ฆ่าด้วยกระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!
ใบหน้าของจอมยุทธ์สามคนซีดเผือด ทั่วสรรพางค์กายเย็นเยือก เมื่อมองไปที่มู่เฉิน แววตาของพวกเขาก็ราวกับเห็นยมทูตซึ่งอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว
มู่เฉินยังคงฉายความเฉยเมยบนใบหน้า ขณะที่เคาะนิ้วอีกครั้ง เส้นใยสีแดงเข้มอีกสายก็พุ่งออกมาจากค่ายกลขณะที่หมุนคว้างก็เปล่งประกายเข้มลึกขึ้น ราวกับอสรพิษที่พร้อมฉกตลอดเวลา
“ออกจากเขตค่ายกล!” ขณะที่จอมยุทธ์ที่เหลือรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบลง เสียงคำรามของจิงเลี่ยก็แผดลั่น
เมื่อได้ยินเสียงคำราม พวกเขาก็ฟื้นคืนสติ หมุนตัวรีบหนีออกจากขอบเขตของค่ายกล
มู่เฉินหรี่ตาลง ริ้วแสงไหลมาที่ปลายนิ้ว
ขณะที่มู่เฉินเตรียมจัดการอีกครั้ง เสียงเกรี้ยวกราดของจิงเลี่ยก็ดังขึ้น “ไอ้เวร แกกล้าฆ่าคนจากเผ่าราชสีห์ทองคำของข้ารึ?!”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ตอบและใช้การกระทำตอบแทน นิ้วสะบัดออกริ้วแสงสีแดงเข้มก็พุ่งไป หัวของจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำอีกคนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว การป้องกันรอบตัวไม่สามารถช่วยได้แม้แต่น้อย
ในเมื่อเผ่าราชสีห์ทองคำคิดโหดใส่ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าไม่แก้แค้นก็ไม่ใช่นิสัยมู่เฉินแล้ว
เมื่อจิงเลี่ยเห็นฉากนี้ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สายตาราวกับต้องการฉีกร่างมู่เฉินออกจากกัน
ที่ด้านหลังมู่เฉินจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรสามคนก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ พวกเขาก็รู้แล้วว่าพลังของมู่เฉินไม่ธรรมดา คนที่สามารถซัดลู่สุยจนหน้าคว่ำด้วยหมัดเดียวจะเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาได้อย่างไร?
แต่เวลานั้นมู่เฉินก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนนี้ ในมือเขาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นเหมือนต้นหญ้าที่เขาสามารถถอนทิ้งได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ตอนแรกพวกเขาไม่ค่อยพอใจที่หานซันเชิญกลุ่มมู่เฉินมาร่วมแบ่งสมบัติอสูรโบราณโภคะ แต่ตอนนี้พวกเขาดีใจมาก หากครั้งนี้ไม่มีมู่เฉินอยู่ด้วย บางทีพวกเขาคงไม่สามารถเดินออกจากสุสานหมื่นอสูรแบบมีชีวิตได้ด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนแล้ว สายตามู่เฉินก็มองคนที่เหลืออย่างไม่แยแส ใบหน้าของจอมยุทธ์ที่เหลือขาวซีด ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว
แสงพล่านมารวมบนปลายนิ้วของมู่เฉินอีกครั้ง
โฮก!
ที่ระยะไกล จิงเลี่ยก็หมดความอดทน เขาปลดปล่อยเสียงคำรามเดือดดาล
“ฆ่ามัน!”
ขณะที่จิงเลี่ยคำราม มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาเตรียมพร้อมสังหารจอมยุทธ์ที่เหลือ
ฟิ้ว!
ลำแสงนี้รวดเร็วมากปรากฏต่อหน้าจอมยุทธ์คนนั้นในพริบตา ทว่าขณะที่ลำแสงกำลังจะกวาดผ่าน พื้นดินก็สั่นสะเทือน แสงสีทองครอบงำหลายสายพุ่งมาจากขอบฟ้า ก่อนที่จะกระแทกอย่างแม่นยำบนจุดหลายจุด
ดวงตาของมู่เฉินหดลงอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเพราะจุดเหล่านั้นเป็นจุดสำคัญของโครงสร้างค่ายกล
ปัง!
มิติผันแปร สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ซ่อนอยู่ก็แตกสลาย ทำให้ค่ายกลขนาดใหญ่ค่อยๆ จางหายลง เมื่อค่ายกลสั่นสะเทือน พลังของแสงสีแดงเข้มก็ลดลงอย่างมาก สุดท้ายแค่พุ่งเฉียดอกจอมยุทธ์คนนั้นไป ไม่สามารถฆ่าได้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันส่งผลให้ใบหน้าของพวกหานซันเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพลังการโจมตีเมื่อครู่รุนแรงกว่าจิงเลี่ยเสียอีก
ใครกัน?
มู่เฉินมองค่ายกลที่ค่อยๆ สลาย ก็เบ้ปากเบาๆ จากนั้นเขาก็มองไปตรงทิศที่พวกธรรมดาสามคนนั่งอยู่
ม่านตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ชายคนสุดท้ายพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตา
ในที่สุดก็ระงับใจไม่ไหวแล้วรึ?