หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1062 ใกล้แค่เอื้อม
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1062 ใกล้แค่เอื้อม
แท่นบูชาขนาดใหญ่เงียบงัน
ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนลานประลอง แม้ว่าคลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวเขาจะลดน้อยลง แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ม่านตาสีดำสนิทประหนึ่งเหวลึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สามารถหยั่งรู้ได้
ในขณะนี้ทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกนับถือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้
ความนับถือนี้มาจากความแข็งแกร่งที่ทรงพลังของเขา
นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินท้าทายไป๋หมิง พวกเขาจึงมองดูเขาด้วยสายตาเวทนา
แต่ตอนนี้ความเป็นจริงบอกพวกเขาว่ามู่เฉินไม่ได้หยิ่งยโสและโง่เขลา เขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แค่ในตอนเริ่มต้นพวกเขาตาบอดไม่สามารถมองเห็นได้เอง
“ชายคนนี้ยากหยั่งถึงอย่างแท้จริง”
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะถอนหายใจด้วยเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาสามารถเอาชนะไป๋หมิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือมู่เฉินครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย
ไพ่ตายต่างๆ ของเขาทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง
เทียบกับทุกคนที่อุทานด้วยความตกใจ จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าก็อ้าปากตาค้างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋ปิง เขามองหงส์ฟ้าตัวใหญ่ที่น่าสมเพชที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดอย่างตะลึงงัน ท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งพ่ายแพ้อย่างนี้เหรอ?
ยิ่งกว่านั้นแม้จะงัดกลยุทธ์ทุกประเภทก็พ่ายแพ้ในมือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเนี่ยนะ?
ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อเต็มใบหน้า พักใหญ่นางก็ขยี้ตา สุดท้ายถอนหายใจพูดพึมพำว่า “ไป๋หมิงแพ้”
นางรู้ว่าไป๋หมิงถึงที่แล้ว มีหลายกลุ่มที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ชื่อเสียงของไป๋หมิงจะต้องถูกกระทบครั้งใหญ่ ผู้อาวุโสทุกคนในเผ่าหงส์ฟ้าต่างมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หากพวกเขารู้ว่าไป๋หมิงพ่ายแพ้ในมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด พวกเขาจะต้องผิดหวังอย่างมาก แม้แต่ทรัพยากรในการเพาะบ่มพลังที่มอบให้ก็จะถูกลดทอน
เส้นทางในอนาคตของไป๋หมิงน่าเป็นห่วงแท้จริง
ขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงกับฉากเบื้องหน้า จิ่วโยวเป็นคนแรกที่ฟื้นสติจ้องมองไปที่มู่เฉินที่คลื่นหลิงลดลง ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้กับมั่วเฟิงและพรรคพวก ทั้งหมดทะยานออกเข้าไปในลานประลองเพื่อปกป้องมู่เฉินเอาไว้
ยามนี้ชัดว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก ดังนั้นหากมีคนเคลื่อนไหวจัดการก็อาจทำให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น
ทว่าความกังวลของจิ่วโยวและพรรคพวกค่อนข้างเกินเลยไปหน่อย ขณะนี้ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความเคารพนับถือและความเคร่งขรึมในสายตา แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก อาจเหลือไม่ถึงสามส่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคิดอะไรหลังจากได้เห็นชุดหมัดบ้าคลั่งนั่น พวกเขากลัวว่าจะทำให้มู่เฉินโกรธ เมื่อไรที่เขาปล่อยหมัดอีกครั้งก็จะผลักพวกเขาไปสู่ความตาย ซึ่งพวกเขาคงได้แต่เสียใจอย่างมาก
มู่เฉินมองพรรคพวกก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วนั่งลงปรับคลื่นพลังงานในร่างกายให้มีเสถียรภาพ อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างตกใจที่ว่าตนเองสามารถใช้หมัดปีศาจพลีชีพของแท้ได้
แม้ว่าช่วงนี้เขาจะพยายามทำความเข้าใจถึงเจตนาการฆ่าที่โหดร้ายของหมัดปีศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อครู่เขารู้สึกถึงการคุกคามรุนแรงจากการโจมตีที่ทรงพลังของไป๋หมิง ภายใต้การคุกคามนั้นได้ปลุกเร้าปัจจัยที่ไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลีกเลี่ยง เลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ทว่าการค้นหาความตายในลักษณะนี้ กลับทำให้เชื่อมโยงกับรัศมีหมัดปีศาจ ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในท้ายสุด
“ไม่แสวงหาชีวิตแต่แสวงหาความตาย เพื่อชีวิตหลังจากนั้นเรอะ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาเกิดความสุขในใจบางเบา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหลังจากเหตุการณ์วันนี้ เขาก็ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหมัดปีศาจพลีชีพ ในอนาคตเพียงแค่ทำให้คุ้นชิน ต่อไปเมื่อเขาต้องการที่จะใช้เพลงหมัดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้สิ้นหวังเช่นนี้อีกแล้ว
วิทยายุทธระดับเสินทงเกินขอบเขตจากระดับเสินซู่แท้จริง เพียงแค่รัศมีเพียงอย่างเดียวก็สามารถข่มศัตรูได้
ขณะที่มู่เฉินกำลังรักษาระดับพลังงานให้มั่นคง ไป๋ปิงและคนอื่นๆ ก็หายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะกระโจนลงจากแท่นบูชาเข้าสู่ทะเลสาบเลือด ยามนี้ไป๋หมิงกลับสู่ร่างมนุษย์ นอนพังพาบด้วยดวงตาปิดสนิทภายในแอ่งเลือดดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกไป๋ปิงรีบประคองไป๋หมิงขึ้น ก่อนจะพากลับไปที่แท่นบูชา แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเฉียดไปใกล้มู่เฉิน แม้พวกเขาจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าและมีความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ความภาคภูมิใจทุกอย่างก็สู้หมัดแข็งแกร่งนั้นไม่ได้หรอก ถ้าพวกเขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้า เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปยั่วแหย่มู่เฉินอีก
สำหรับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ พวกเขาคงไม่มีโชควาสนาแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะมีคนจำนวนมากกว่า หากพวกเขากลุ้มรุมเข้าไปพร้อมกัน บางทีนั่นอาจเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มมู่เฉิน แต่เมื่อไป๋ปิงเหลือบมองพรรคพวกที่มีใบหน้าซีดเผือด เขาก็รู้ว่าทุกคนหวาดกลัวในใจ ต่อให้ออกไปสู้ก็ไร้ประโยชน์
ครั้งนี้พวกเขาถูกปราบปรามโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
หลังจากพาไป๋หมิงซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าทะเลสาบเลือดหงส์ฟ้าซึ่งถูกทิ้งไว้โดยไป๋หมิงที่อยู่ด้านนอกแท่นบูชาค่อยๆ ซึมลงบนพื้นสีดำอย่างเงียบๆ หลังจากดูดซับเลือดสดความมืดบนพื้นดินก็มืดมิดผิดแผกไปมากขึ้น
มู่เฉินปรับเสถียรภาพร่างกายซึ่งใช้เวลาไปสิบกว่านาที ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น ความผันผวนของพลังงานที่ลดน้อยลงรอบตัวได้รับการฟื้นฟูไม่น้อย ความแวววาวควบแน่นในรูม่านตาสีดำสนิทอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อยืนขึ้น เมื่อร่างตั้งมั่นก็มีสายตามากมายมองมาด้วยความเคารพ
มู่เฉินมองไปรอบๆ เข้าใจว่าจะไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็เป็นผู้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะไป
ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พุ่งเข้าหาเผ่าหงส์ฟ้า เมื่อทั้งกลุ่มเห็นว่ามู่เฉินเพ่งสายตามา พวกเขาก็ตื่นระวังขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่มีความกลัวพลุ่งพล่านในสายตามาก
ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้ว่าจะเป็นสายย่อย พวกเขาก็ยังคงภาคภูมิใจ พวกเขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินมีพลังเพียงใด แต่ก็ไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะฆ่าล้างบางพวกเขาทั้งกลุ่ม
เผ่าหงส์ฟ้าไม่มีความขุ่นข้องใจต่อมู่เฉินในการเอาชนะไป๋หมิง แต่ถ้ามู่เฉินสังหารพวกเขาทั้งหมดที่นี่ ก็เป็นเขาเองที่จะสร้างความหมองใจให้กับเผ่าหงส์ฟ้า ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเผ่าวิหคโลกันตร์รับได้
มู่เฉินก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นอีกต่อไป เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่กลุ่มไป๋ปิงพร้อมกับเตือนด้วยสายตา
เผ่าหงส์ฟ้าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกลืนความไม่พอใจลงไปในท้อง ไม่กล้าที่จะโต้เถียงกับมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปอีก สายตาเขาเบนไปยังอีกสองลานประลอง การต่อสู้ดุเดือดสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
อีกสองลานประลอง ทั้งสี่คนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นความรุนแรงของการต่อสู้ก็ทำให้คนอื่นๆ ต้องเพ่งสายตาไปมองด้วยเช่นกัน
แต่การต่อสู้ของพวกเขาไม่เลือดเดือดเหมือนการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาควบคุมตนเองไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเหมือนที่มู่เฉินทำ
ดังนั้นผู้ชนะทั้งสองก็คือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงและลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้า พวกเขาเอาชนะได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
แต่ในสายตาของมู่เฉิน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้อ่อนแอกว่าจงชิงเฟิง เหตุผลที่จงชิงเฟิงคว้าชัยได้ต้องมีข้อตกลงระหว่างพวกเขาแน่นอน มิฉะนั้นจงชิงเฟิงไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่
แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่ได้โลภและเป้าหมายของเขามีเพียงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นสำหรับแก่นมรดกอีกสองชิ้น เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนได้ไป
เมื่อการต่อสู้ได้ข้อสรุป สายตาของพวกเขาก็จ้องมองมาที่มู่เฉิน แต่ละคนมีแววแปลกประหลาดอยู่ในดวงตา พวกเขาเห็นฉากที่มู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเช่นกัน ดังนั้นจึงตกตะลึงอยู่ในใจ
พลังของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าไป๋หมิง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะไป๋หมิง เว้นแต่พวกเขาจะประลองด้วยเดิมพันชีวิต
แต่มู่เฉินสามารถเอาชนะไป๋หมิงได้ ซ้ำยังทำให้บาดเจ็บหนัก นั่นหมายความว่าถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับพวกเขาก็มีสิทธิ์ลงเอยด้วยผลลัพธ์เดียวกันกับไป๋หมิง
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของข่งหลิง จงชิงเฟิงและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่มองมู่เฉินโดยไม่มีแววดูถูกเหยียดหยามเหมือนที่เคยมีมา เพราะถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวงของคนในระดับเดียวกัน
“มู่เฉินไม่ธรรมดา ตอนนั้นที่จงเถิงส่งข้อความมา เขาบอกแค่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แต่ตอนนี้ขั้นแปดยังพ่ายแพ้ต่อเขา การพัฒนาของเขาน่าทึ่งมาก” จงชิงเฟิงมองไปที่มู่เฉิน เขาพับเก็บเรื่องของจงเถิงลงอย่างสมบูรณ์
ดีที่สุดที่เขาจะหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูเช่นนี้
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา เมื่อเขาเห็นว่าตัดสินใจผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับมาจ้องมองวิหคอมตะโบราณที่ปลายบันไดหิน
ยามนี้รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณกำลังเปล่งประกายราวกับเรียกผู้ชนะ
มู่เฉินสูดหายใจลึกพยักหน้าเบาๆ ไปให้จิ่วโยว จากนั้นร่างก็เคลื่อนออกไปประหนึ่งสายฟ้าพุ่งไปในทิศทางของรูปปั้นหิน
แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณอยู่แค่เอื้อมแล้ว