หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1069 ฝึกฝนขมขื่นในมหาสมุทรเทพสร้าง
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1069 ฝึกฝนขมขื่นในมหาสมุทรเทพสร้าง
เบื้องหน้ามหาสมุทรเทพสร้าง
“พวกเจ้าสามารถเพาะบ่มพลังได้ที่นี่และตัดสินใจเอาเองว่าต้องการอยู่นานแค่ไหน แม้ว่าคลื่นหลิงในสถานที่นี้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ครอบงำเนื่องจากแก่นเลือดโลหิตแท้จริงของเทพอสูรชั้นสูงมากมาย ด้วยพลังของพวกเจ้าทั้งสองคงไม่สามารถอยู่ได้นาน มิฉะนั้นเลือดและรัศมีจะถูกปนเปื้อน ทำให้พลังงานหลิงไม่บริสุทธิ์”
เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินคำพูดของราชินีวิหคอมตะก็พากันพยักหน้า ต่อให้นางไม่เตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าแม้คลื่นหลิงที่นี่จะหนาแน่น แต่เลือดและรัศมีก็พลุ่งพล่านด้วยการกดขี่ข่มเหง ดังนั้นหากควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดี
“มีเพียงพวกข้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้ได้ หลังจากนี้ไปคลื่นหลิงของพวกข้าจะค่อยๆ หมดลง ดังนั้นนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกข้าจะปรากฏตัวที่โลกภายนอก”
มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่มิตินี้จะเปิดขึ้นและจะไม่มีใครสามารถเข้ามาได้อีกหลังจากที่พวกเขาออกไปงั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เฉินมู่ก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก พลังของเขากับจิ่วโยวมีจำกัด จึงไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงในสถานที่นี่ให้เป็นของตนเอง ตอนนี้พวกเขาก็ราวกับมดปลวกที่หล่นเข้าในยุ้งข้าว ไม่ว่าจะขยายท้องแค่ไหนก็ไม่สามารถกินได้ทั้งหมด
เขาไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่ราชันทั้งสามกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากจอมยุทธ์มากมายของดินแดนเสินโซ่ ถ้าปล่อยให้มันจางหายไปตามกาลเวลา จะไม่เป็นการทิ้งให้เสียประโยชน์เหรอ?”
“แม้ว่าตอนนี้มหาพันภพจะสงบสุข แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติยังคงจับจ้องจักรวาลของเราราวกับหมาป่าหิวโซ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะแสวงหาสันติภาพกับพวกมัน หากมีวันหนึ่งที่พวกมันยาตราทัพบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง พวกมันจะต้องทำสุดกำลังแน่นอน ในเวลานั้นทั้งมหาพันภพจะต้องเผชิญกับอันตรายทำลายล้างเผ่าพันธุ์ใหญ่หลวง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าว่าถ้าสามารถทำให้สิ่งที่เหล่าจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่หลงเหลือไว้เป็นประโยชน์ในการช่วยปกป้องมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องเห็นด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดจริงจังของมู่เฉิน ทั้งสามก็อึ้งไปก่อนที่พวกเขาจะเปิดเผยสีหน้าบางอย่าง ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเผ่าปีศาจไปไกลเกินกว่าที่มู่เฉินคิดไว้มาก ดินแดนเสินโซ่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับถูกทำลายโดยเผ่าปีศาจ ครอบครัวเพื่อนพ้องจบชีวิตลงในการต่อสู้
ทว่าก็ไม่มีอะไรทีพวกเขาทำได้เนื่องจากสิ้นชีพไปแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นความปรารถนาสุดท้าย หากพลังที่เหลืออยู่สามารถสร้างภัยคุกคามหรือขัดขวางเผ่าปีศาจต่างมิติในอนาคต
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเปิดทางเข้าสู่มหาสมุทรเทพสร้างแห่งนี้ เนื่องจากที่นี่ได้รับการปกปักรักษาโดยปณิธานของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจากดินแดนเสินโซ่ ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยากที่จะบุกเข้ามา ตอนนี้พลังของพวกเขาก็กำลังเหือดหายไป อาจไม่มีใครที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้อีกหลังจากพวกเขาสูญสลายไปชั่วนิรันดร์
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง สามฝ่ามือประสานกัน แสงหลิงคลี่กระจายกลายเป็นป้ายผลึกหยกระหว่างฝ่ามือของพวกเขา ระลอกคลื่นลึกซึ้งเปล่งออกมาจากป้ายนี้
เมื่อป้ายควบแน่น มู่เฉินและจิ่วโยวก็มองเห็นร่างดวงจิตของราชันทั้งสามพร่ามัวไปมาก ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะหายไป
ราชินีวิหคอมตะจับป้ายผลึกหยกส่งให้มู่เฉินยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าก็แค่อยากได้พลังในมิตินี้ไม่ใช่เหรอ ยังพูดให้ดูหรูหราอีก แต่ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด แทนที่จะปล่อยให้สถานที่นี้หายไปตามกาลเวลาก็เป็นการดีกว่าที่มอบให้เป็นของขวัญแก่ชนรุ่นหลัง ด้วยวิธีนี้อาจได้สนับสนุนจอมยุทธ์สุดยอดสักคนที่สามารถปกป้องมหาพันภพไว้ก็ได้”
“ป้ายผลึกหยกนี้ประกอบด้วยพลังสุดท้ายของพวกข้า หากเจ้ารู้สึกว่ามีคุณสมบัติพอที่จะสืบทอดสถานที่นี้ในอนาคต เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกลับมายังที่นี่อีกครั้ง แต่จำไว้นะมันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
พอเห็นว่าความคิดของตนถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยราชินีวิหคอมตะ เขาก็รู้สึกเงอะงะไปบ้าง แต่เมื่อพบว่าไม่มีความไม่พอใจใดๆ ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย กลับให้ความรู้สึกเหมือนมอบหมายภารกิจหนักหนา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ถึงความไว้วางใจและความคาดหวังของราชันทั้งสาม ซึ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจบ้าง ราชันทั้งสามสละชีพในสมัยโบราณเพื่อมหาพันภพ กระทั่งตายไปแล้วพวกเขาก็ยังปรารถนาที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ความทรงคุณธรรมนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพยิ่งในใจ
ตอนแรกราชันทั้งสามพอมีเวลาที่จะอยู่ได้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่พวกเขากลับเต็มใจใช้พลังทั้งหมดเพื่อให้โอกาสมู่เฉินในการเข้าสู่สถานที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้ราคาที่จ่ายก็คือเร่งความเร็วของการหายไปของร่างดวงจิต
ดังนั้นมู่เฉินจึงยื่นรับป้ายผลึกหยกมาก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้กับทั้งสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแฝงความความเคารพว่า “หากในอนาคตมหาพันภพต้องประสบภัยจากการรุกรานของเผ่าปีศาจอีก ข้าคนนี้จะปกป้องด้วยกำลังทั้งหมดที่มี”
มู่เฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มไม่ประสาแบบในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่เคยปะทะโดยตรงกับเผ่าปีศาจ แต่เขาก็สามารถหาข้อมูลได้จากซากวีรชนในสนามรบโบราณ เผ่าปีศาจทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยม เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะอยู่อย่างสงบสุขกับสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ ดังนั้นทันทีที่พวกมันประกาศสงคราม จะต้องกระทบไปทั้งมหาพันภพแน่นอน ในเวลานั้นแม้ว่าจะเป็นเพื่อเพียงปกป้องคนใกล้ชิด เขาก็ต้องต่อสู้กับเผ่าปีศาจสุดกำลังแน่นอน
ทั้งสามจ้องมองไปที่ท่าทางเด็ดเดี่ยวของมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รีบฝึกฝนซะ”
ราชินีวิหคอมตะมองไปที่จิ่วโยวด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ในช่วงเวลานี้ข้าจะแนะนำเจ้าในเส้นทางวิวัฒนาการของวิหคอมตะ”
เผ่าวิหคโลกันตร์เป็นสายเลือดของนาง ดังนั้นจึงถือว่าชะตาลิขิตที่นางได้พบเจอกับลูกหลานก่อนที่จะหายไปตลอดกาล นางจึงไม่ยึกยักที่จะแนะนำจิ่วโยวเท่าที่จะทำได้
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ความตื่นเต้นก็แผ่ซ่านออกมาจากใบหน้า ถ้านางสามารถได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ นี่จะถือเป็นโชคชะตายิ่งใหญ่สำหรับนาง ไม่ต้องพูดถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ แม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้าก็คงไม่มีใครได้รับความอนุเคราะห์เช่นนี้
มู่เฉินก็สุขใจไปกับจิ่วโยวเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานไปนั่งลงเหนือมหาสมุทรโลหิต
นั่งอยู่เหนือผิวน้ำ ต่อให้ยังไม่เริ่มเพาะบ่ม เขาก็สามารถสัมผัสถึงรัศมีเลือดที่พลุ่งพล่านจากเบื้องล่าง ค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาในร่างของเขา
ทันใดนั้นเลือดเนื้อของเขาก็กระสับกระส่ายไม่หยุดยั้ง รัศมีเลือดที่ไม่มีที่สิ้นสุดหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาส่งเสียงครางกระหึ่ม ร่างกายของเขากลืนกินรัศมีเลือดเพื่อทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ความไม่สบายจากการสั่งกองทัพอสูรสวรรค์ก่อนหน้าได้หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ คลื่นพลังไหลผ่านแขนขาและกระดูกนำพาเขากลับไปยังจุดสูงสุดของพลัง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสูงสุด มู่เฉินก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองสั่นเทาก่อนที่จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะระเบิดออกมาด้วยแสงสีทองตระการตา จากนั้นก็บินฉวัดเฉวียนออกจากท่อนแขนของมู่เฉิน ขดตัวอยู่รอบตัวเขา
ฟู! ฟู่!
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าฟ้าแท้จริงตัวเล็กพัวพันรอบตัวรอบมู่เฉิน เปล่งเสียงคำรามที่คมชัด ส่งผลให้เกิดลูกคลื่นยกตัวขึ้นในมหาสมุทรโลหิตเบื้องล่าง เสาโลหิตพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างมังกรและหงส์ฟ้าอย่างไม่รู้จบ ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่จิตวิญญาณทั้งสองซึมซับรัศมีเลือดไร้ขอบเขต มู่เฉินก็สามารถเห็นร่างจิตวิญญาณซึ่งแต่เดิมเป็นสีทอง บัดนี้กลับถูกปนเปื้อนด้วยเส้นใยสีแดงเข้ม นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงพลังที่บรรจุอยู่ในมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
การฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่งต้องพึ่งการกลืนกินแก่นโลหิตเทพอสูรชนิดต่างๆ อยู่แล้ว ตอนนี้มหาสมุทรเบื้องล่างเขาถูกกลั่นตัวมาจากเลือดเทพอสูรชั้นสูงนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงเป็นอาหารเอร็ดอร่อยที่สุดของจิตวิญญาณทั้งสอง
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินอึ้งไปกับความเร็วในการเติบโตของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ราชันทั้งสามก็สัมผัสได้ พวกเขาจ้องมองไปทันที เมื่อเห็นร่างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงรอบร่างมู่เฉิน ดวงตาของพวกเขาหดเกร็งลง
“จิตวิญญาณที่บรรจุด้วยสายเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงหรือ?” ราชันทั้งสามมีสายตาเฉียบคม พวกเขาระบุร่างวิญญาณเทพอสูรทั้งสองได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว นอกจากนี้วิญญาณแท้จริงก็ไม่ได้เกิดจากคลื่นหลิงเพียงอย่างเดียว แต่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของมังกรและหงส์ฟ้าอยู่ด้วย
“คัมภีร์ที่เจ้าหนุ่มนี่ฝึกฝนน่าพิศวงอย่างยิ่ง สามารถควบแน่นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเพื่อป้องกันตัวเองได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขารู้ถึงศักยภาพทรงพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ถ้าบำรุงเลี้ยงอย่างดี ในอนาคตเมื่อควบรวมเต็มที่ พลังก็จะไม่ด้อยไปกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงตัวจริงเลย
เจ้าหนูนี่เป็นขวดวิเศษที่น่าประหลาดใจจริงๆ
อีกสองคนก็พยักหน้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง พวกเขารู้สึกเลือนรางว่าบางทีในอนาคตเมื่อมหาพันภพต้องเผชิญกับเผ่าปีศาจ การเลือกของพวกเขาในวันนี้อาจสร้างเสาหลักทรงพลังแล้วก็เป็นได้
มู่เฉินไม่สนใจอาการตกใจของราชันทั้งสาม เขามองดูจิตวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง จากนั้นก็ยิ้มบางก่อนที่จะปิดตาลงเพื่อสัมผัสกับเลือดและรัศมีที่พวยพุ่งในร่างกาย
โอกาสนี้เป็นโชคที่หายากมากสำหรับเขา ดังนั้นเขาต้องยึดช่วงเวลาเพื่อให้ตัวเองพัฒนาการอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเมื่อออกจากดินแดนเสินโซ่ก็ถึงเวลาจะต้องเตรียมการสำหรับการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลแล้ว
อย่างที่มั่นถัวหลัวบอกจะต้องมีวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะในวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็อาจจะได้พบกับจอมยุทธ์ที่ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน
คนเหล่านั้นจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง
ดังนั้นหากเขาต้องการโดดเด่นที่สุดในกลุ่มสัตว์ประหลาดและได้รับวิธีวัฒนาการไป เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น!