หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1075 หวนกลับ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1075 หวนกลับ
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเป็นสาย ก่อร่างเป็นสายเมฆยาวแต้มไล่สี มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เนื่องจากเพิ่งบรรลุขุมพลังทำให้มีปัญหาในการควบคุมคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย เวลานี้เสื้อผ้าถึงกับสั่นกระพือ เสียงพายุดังกึกก้อง เกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโดยรอบจนถึงจุดที่ระเบิดเสียงครางกระหึ่มออกมาเลยทีเดียว
ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้นช้าๆ แสงหลิงมืดดำส่องประกายในนัยน์ตา รอยปริแตกเลือดบนผิวหนังก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะนี้
“ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”
มู่เฉินก้มหน้าลงมองมือตัวเองแล้วก็อึ้งไป รู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย ยามนี้กระทั่งคนแบบเขายังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ตอนที่เขาจากสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ได้ฝึกกระทั่งร่างเทห์สวรรค์ ตอนที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เขาก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าเวลาผ่านมาหลายปีในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับขั้นสูงสุดของระดับจื้อจุนเสียที
ตราบใดที่เขาสามารถปลดตรวนระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ เขาก็จะผงาดขึ้นเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอด!
ระดับตี้จื้อจุน!
เมื่อใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนั้น เขาก็จะมีคุณสมบัติอันน่ายกย่องในมหาพันภพ ถึงเวลานั้นเขาจะถูกจัดอันดับให้อยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่
ในเวลานั้นเขาก็จะมีความสามารถและความมั่นใจในการเดินทางไปยังตระกูลลั่วเสิน
หนทางที่เคยเหมือนยาวไกล กลับลอยมาอยู่เหนืออุ้งมือของเขาแล้วในวันนี้ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจ การฝึกฝนที่ขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่า
มู่เฉินยิ้มบางขณะที่ดำดิ่งสำรวจร่างกายก่อนที่จะสังเกตเห็นจุดจื้อจุนไห่ ขนาดของจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า คลื่นหลิงก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เคยเป็นมานับไม่ถ้วน
มิหนำซ้ำคลื่นหลิงก็ถูกขัดเกลาอย่างมาก หากมองลงไปอย่างละเอียดก็จะพบว่ามีเปลวเพลิงโปร่งใสลอยฟุ้งอยู่ในสายคลื่นพลัง อัดแน่นด้วยพลังที่มีชีวิตชีวา
“นี่คือเพลิงอมตะที่ข้าเคยดูดซับมาก่อน…”
เมื่อมองภาพนี้ มู่เฉินก็ดีใจในหัวใจ ดูเหมือนว่าการฝึกฝนตลอดสองปีที่ผ่านมาทำให้เพลิงอมตะที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ผสานเข้ากับคลื่นหลิงของเขาแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมนัก
เพลิงอมตะเหล่านั้นอาจดูไม่น่าทึ่ง แต่มู่เฉินทราบดีว่าหลังจากที่เพลิงอมตะหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขาสมบูรณ์ พวกมันจะมอบพลังชีวิตให้คลื่นของเขาไม่หยุด ดังนั้นแม้ความจริงมู่เฉินจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงก็ไม่สามารถได้เปรียบในมือเขา
มู่เฉินยิ้มพุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่แล้วมองไปที่ท่อนแขน เห็นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาด แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเกี่ยวกับสี สีเหลืองทองที่ส่องประกายกลายเป็นสีทองเข้มอย่างสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังมีจุดแสงสีม่วงอยู่เล็กน้อย
เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน มังกรและหงส์ฟ้าจึงเบิกตา เวลานี่เองพลังกดดันของเทพอสูรแท้จริงก็ล้อมรอบไปทั่ว ทำให้ระดับคลื่นโดยรอบชั้นทะเลพลังลดลง
รับรู้ถึงแรงกดทรงพลัง ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังถูกยับยั้งจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โจมตีกลับไม่ได้เลย
ชัดว่าช่วงสองปีในการฝึกฝน มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มหาศาล ซึ่งทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้ถ้ามู่เฉินปะทะกับไป๋หมิงอีกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ต้องลงมือเอง แค่การรั่วไหลของแรงกดดันของเทพอสูรแท้จริง ชายคนนั้นก็หมอบราบคาบแก้วลงกับพื้นแล้ว
“ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ยิ่งใหญ่แท้จริง”
มู่เฉินออกจากห้วงจิต สัมผัสถึงพัฒนาการ ความพึงพอใจก็ผุดขึ้นในดวงตา ตามกฎเวลาของที่นี่เขาน่าจะฝึกฝนเป็นเวลาสองปี แต่ภายนอกก็ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น
ในเวลาเพียงครึ่งปี พัฒนาการเช่นนี้ของเขาเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึง
เขายิ้มบาง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เงาร่างไปปรากฏบนเกาะอย่างน่าพิศวง
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการของเจ้า”
เมื่อร่างของเขาเพิ่งปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะร่าของจิ่วโยวก็สะท้อนเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเพรียวบางฉายในดวงตาของเขา อาการตกตะลึงวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา
“เจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเรอะ?” มู่เฉินถามด้วยความตื่นตะลึง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการคุกคามแผ่วเบาที่เกิดจากจิ่วโยว ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกิดจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แท้จริง
“ต้องขอบคุณแก่นมรดกโลหิตของผู้อาวุโส” จิ่วโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้มาก ซึ่งจะทำให้นางสามารถช่วยมู่เฉินได้ ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงให้เขาต้องคอยพยุงต่อไป
มู่เฉินเบ้ปาก เขาฝึกฝนอย่างขมขื่นสองปี ถึงได้ก้าวไปถึงระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ปรากฏว่าโชคของจิ่วโยวกลับแซงหน้าไปอีก นางทะยานตรงไปยังขั้นเก้าได้เลย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
“หลักการของการฝึกฝนระหว่างเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน แต่ละคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง” ราชินีวิหคอมตะแย้มยิ้มบางจากด้านข้าง
มู่เฉินพยักหน้ามองดูร่างสะคราญโฉมที่เกือบจะโปร่งใส ดวงตาก็มืดมัวลง เขารู้ว่าอีกไม่ช้าราชินีวิหคอมตะจะหายตัวไปจากโลกชั่วนิรันดร์
ผู้อาวุโสท่านนี้ให้โอกาสเขาเข้าสู่มิตินี้ มิฉะนั้นถ้าเขาต้องการจะไปให้ถึงขุมพลังในปัจจุบัน เขาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกเป็นปี นอกจากนี้รากฐานก็จะไม่มั่นคงเท่านี้
เมื่อราชินีวิหคอมตะมองเห็นสายตาของเขาก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าตายไปนานแล้ว ที่เหลือร่างดวงจิตไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาปนเปื้อนในดินแดนเสินโซ่เท่านั้น ตอนนี้ได้พบผู้สืบทอดด้วย ทุกอย่างเป็นที่พอใจแล้ว”
“ในอนาคตถ้าข้ามีความแข็งแกร่งในการสืบทอดสถานที่นี้ ข้าจะปกป้องมหาพันภพสุดกำลัง” มู่เฉินประสานมือโค้งคำนับด้วยคำสัตย์สาบาน
ราชินีวิหคอมตะรู้สึกพึงใจพลางพยักหน้าให้ ก่อนที่ร่างจะโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจางหายไป นางชี้นิ้ว มิติเบื้องหน้าก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสคลื่นวน
“ประตูเคลื่อนย้ายมิตินี้จะนำพวกเจ้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ เมื่อข้าจากไป เจ้าสองคนก็กลับไปเถอะ”
ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้แก่ราชินีวิหคอมตะอีกครั้ง
ราชินีวิหคอมตะกวาดมองดินแดนแห่งนี้โดยไม่มีความอาลัยหลงเหลือ จากนั้นนางก็ค่อยๆ หลับตา ร่างกายโปร่งใสยิ่งขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วจางหายไป
ตู้ม! ตู้ม!
มหาสมุทรขนาดใหญ่กลิ้งตัว ส่งเสียงร้องครวญครางดังก้องราวกับว่ากำลังเอ่ยร่ำลาผู้เป็นใหญ่ที่สุดซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองดินแดนเสินโซ่
มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปยังจุดที่ราชินีวิหคอมตะหายไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองไม่มีความลังเลก้าวเข้าไปในประตูมิติ
ระลอกแปรปรวนจากกระแสคลื่นมิติกลืนกินพวกเขา สุดท้ายความผันผวนระเบิดออก จากนั้นกระแสคลื่นก็ค่อยๆ หายไป
พร้อมกับการจากไปของพวกเขา มิติที่เต็มไปด้วยมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เงียบสงบอีกครั้ง รอเวลาที่จะเผยโฉมใหม่ในอนาคต บางทีเมื่อถึงเวลานั้นมู่เฉินก็ได้กลายเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว
ความผันผวนของมิติโกลาหลไปหมด รบกวนประสาทสัมผัสของมู่เฉินและจิ่วโยว แต่การขนส่งข้ามมิตินี้ก็ไม่ได้อยู่นาน ลำแสงกระจายที่เบื้องหน้า ทั้งสองก้าวออกมาทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ทิวทัศน์คุ้นตาฉายในดวงตาของทั้งคู่ ร่างแสงนับไม่ถ้วยทะยานมาจากระยะไกล ชัดว่ารู้สึกถึงความผันผวนมิติของที่นี่
มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปที่ทิวทัศน์คุ้นเคยในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับชีวิตใหม่ การฝึกฝนเป็นเวลาสองปีในมิตินั้นช่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงามาก
ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวกำลังอึ้งไป ร่างแสงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นจิ่วโยว ความหวาดระแวงในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“พาเราไปพบท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโส” จิ่วโยวยกมือพูดขึ้นเบาๆ
ร่างแสงเหล่านี้ก็คือผู้คุมกฎของเผ่าวิหหคโลกันตร์ที่ทรงพลัง สถานะของพวกเขายิ่งใหญ่มาก ในอดีตพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิ่วโยว แต่วันนี้เมื่อพวกเขาพบจิ่วโยวอีกครั้ง พวกเขาก็อึ้งไปกับความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากนาง แต่ละคนได้แต่ตื่นตะลึงในใจ เนื่องจากพวกเขาเคยสัมผัสแรงกดดันแบบนี้จากผู้อาวุโสของเผ่าเท่านั้น
ในเวลาเพียงครึ่งปีความแข็งแกร่งของจิ่วโยวทำไมถึงเติบโตได้มากเช่นนี้?
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความสงสัยอัดแน่นใจหัวใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาหันหลังกลับนำทางทันที
สภาผู้อาวุโส
เมื่อเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าเห็นจิ่วโยวและมู่เฉินมาถึง แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา
“จิ่วโยว เจ้าสองคน…” เทียนฮวงอดที่จะถามไม่ได้ ในเวลาเพียงครึ่งปีจิ่วโยวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดก็บรรลุขั้นเก้า?
แม้แต่มู่เฉินก็ยังก้าวเข้าระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจากขั้นหก
การพัฒนาครั้งใหญ่นี้ ทำให้แม้แต่เทียนฮวงที่มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกตกใจ
จิ่วโยวยิ้มบาง “ข้าได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นพลังถึงได้พัฒนาไปมาก”
นางไม่ได้พูดถึงมหาสมุทรเทพสร้างเพราะเป็นสิ่งล่อใจยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังต้องตาแดงก่ำ ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนไขในมือมู่เฉินเพียงข้อเดียว ถ้าถูกเปิดเผยจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างแน่นอน
“ราชินีวิหคอมตะจริงสินะ…”
เทียนฮวงและคนอื่นก็เข้าใจได้ในทันที พวกเขาได้แต่ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด แต่ในเมื่อจิ่วโยวไม่ต้องการเปิดเผย พวกเขาก็ไม่สามารถถามอะไรได้มาก ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์
เทียนฮวงและผู้อาวุโสแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองมู่เฉิน สายตาดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น ครั้งนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ช่วยให้จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตเท่านั้น เขายังช่วยให้นางเพิ่มพูนพละกำลัง ซึ่งนับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง
“มู่เฉินตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่พูดถึงพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยว ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าสองคนจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น” เทียนฮวงกล่าวอย่างช้าๆ
“ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส” มู่เฉินประสานมือ หัวใจคลายการบีบรัดลง ในที่สุดเขาก็แก้ไขปัญหานี้ได้เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเผ่าวิหคโลกันตร์น่าอึดอัดใจ โดยที่จิ่วโยวจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง
“นอกจากนี้…”
เทียนฮวงหยุดพูดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “จากการประชุม ทางเผ่าได้ตัดสินใจจะแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไป การจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สุดในเผ่า ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินในอดีต กระทั่งตอนนี้เขาก็อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ชัดว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ นอกจากนี้ที่สำคัญเขาไม่ใช่สมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์
ตำแหน่งของผู้อาวุโสในเผ่านั้นสำคัญมาก หากจัดการได้ดี เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเป็นพื้นหลังให้เขาในอนาคต
นี่คือขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก!
นอกจากนี้มู่เฉินก็ต้องการพลังดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงลังเลชั่วครู่เมื่อได้ยินข้อเสนอจากเทียนฮวง จากนั้นก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินการตอบสนองของมู่เฉิน เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจ สายตาของพวกเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
“อีกเรื่องเมื่อไม่นานประมุขมั่นถัวหลัวแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ฝากข้อความมาถึงเจ้า” เทียนฮวงยกมือขึ้น แผ่นหยกก็บินไปหามู่เฉิน
มู่เฉินรับมาแล้วบีบแผ่นหยกให้แตก ก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง
มีเพียงประโยคเดียวที่อยู่ในแผ่นหยกนี้ แต่ก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเพื่อมเป็นลอนคลื่นเลยทีเดียว
“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏแล้ว กลับมาให้เร็วที่สุด!”