หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1089 เซี่ยหง
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1089 เซี่ยหง
เมืองซี
เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตก แต่ในอดีตเมืองนี้เงียบเหงามาก ประชากรก็เหลือน้อยจนเมืองเกือบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว
ทว่าการปรากฏขึ้นฉับพลันของวังสวรรค์บรรพกาล ทำให้เมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อกลุ่มของมู่เฉินปรากฏตัวบนยอดเขานอกเมืองซี พวกเขาก็เห็นร่างแสงเป็นริ้วปกคลุมท้องฟ้า เสียงที่ทำเอาแก้วหูแทบแตกดังกึกก้องไม่สิ้นสุด
ความผันผวนของคลื่นนับไม่ถ้วน ทำให้พลังงานในฟ้าดินเกิดปฏิกิริยาขึ้นบนท้องฟ้า สามารถรับรู้ได้แม้แต่ในระยะไกล
“การล่อลวงของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งไม่ธรรมดาแท้จริง สามารถทำให้เมืองแสนธรรมดากลายเป็นคึกคักขนาดนี้…” มู่เฉินถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพหลากหลาย เจ้าของคลื่นพลังเหล่านี้ทรงพลังมาก จนถึงจุดที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยความจริงจัง
ตามการประเมินของเขา ขนาดของจอมยุทธ์ในเมืองนี้เกินกว่าการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นยอดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซะอีก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบพื้นผิว ไม่อย่างนั้นหากมั่นถัวหลัวเคลื่อนไหวละก็ ทั้งเมืองอาจราบเรียบเป็นหน้ากองได้เลย แต่ชัดว่าในเมืองนี้ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“ไปกันเถอะ”
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วแล้วทะยานออกไปโดยมีผู้บัญชาการทั้งสามตามหลังมา ร่างแสงห้าร่างเข้าร่วมกับการไหลของแสงบนท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในเมือง
เมื่อเข้ามาพวกมู่เฉินก็มองหาโรงเตี๊ยมเพื่อปักหลัก ผู้เฒ่าไป๋และถานชิวออกไปหาข่าว ขณะที่ผู้บัญชาการสือติดตามมู่เฉินและจิ่วโยวประหนึ่งผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์
เมื่อมู่เฉินเห็นทั้งสามคนแยกกันทำงานเสร็จสรรพ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจว่าเป็นการฉลาดที่พาพวกเขาทั้งสามร่วมเดินทางมาด้วย มิฉะนั้นเขาจะต้องวิ่งขวั่กหาข้อมูลรอบตัว
ยิ่งเมื่อผู้เฒ่าไป๋ที่มากประสบการณ์ออกโรง เขาและจิ่วโยวก็เพียงแค่รอข้อมูลที่รวบรวมมาเท่านั้น
โรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก ซึ่งก็ถูกส่งเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉินและจิ่วโยวอยู่ไม่น้อย ในสถานที่แบบนี้จะปะปนไปด้วยคนทุกประเภท ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการค้นหาข้อมูลไปรอบๆ
“ข้าได้ยินมาว่าฝั่งทิศเหนือของเมืองซีมีคนเคลื่อนไหวอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอมเขียวถือหอกทองคำ พลังของเขานับว่าดีทีเดียว อย่างน้อยก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุด”
“จุ๊ๆ นั่นคือหอกเทพทองคำ-หลิ่วหมิง เขามาจากภูมิภาคทางตะวันตก บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุดได้ตั้งแต่เยาว์วัย ช่วงนี้เขาท้าประลองจอมยุทธ์จำนวนมาก โดยมีหลายคนหมดท่าแพ้ไปแล้ว”
“เขามีความสามารถจริงๆ แต่ข้าว่าเขายังด้อยกว่าจอมยุทธ์กระบี่บัวหยกที่แสดงฝีมือเมื่อสองสามวันก่อน ตัดสินจากระดับพลัง ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนที่ประลองกันเขาตัดแขนจอมยุทธ์ขั้นแปดสี่คนโดยการออกกระบวนท่าครั้งเดียว ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”
“ยังมีอีกนะ ครึ่งเดือนก่อน…”
“…”
ข่าวทุกประเภทลอยเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉิน ทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย ดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้กำลังเป็นที่รวบรวมจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัว คนพวกนั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของคนรุ่นใหม่ถ้าอยู่ที่อื่น แต่ตอนนี้พวกเขากลับเผยตัวขึ้นทีละคน…ละคน
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับจำนวนจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ในเมืองซีแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องมาจากขอบฟ้า ปรากฏขึ้นในเมืองพริบตา
ในเมืองสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปทางทิศนั้น จากนั้นก็เกิดเสียงอุทานไม่สิ้นสุด
มู่เฉินจ้องมองไปบนท้องฟ้าก็ต้องอึ้งไป จากนั้นก็ต้องเบะปาก นั่นเป็นเพราะตอนนี้สังเกตเห็นยานพาหนะที่หรูหราที่สุดในสายฟ้า รถม้าถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายมังกรสีทอง ความผันผวนอันทรงพลังได้ถูกปล่อยออกมาบ่งบอกว่านี่คืออาวุธเทพ
แน่นอนว่าที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่รถม้า แต่เป็นสิงโตสีเงินสี่ตัวที่กำลังลากรถโดยมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับว่าพวกมันกำลังขี่สายฟ้าอยู่
นี่คือ…สิงโตสายฟ้าซึ่งมีสายเลือดของเทพอสูร เมื่อพวกมันโตเต็มวัยก็จะสามารถพัฒนาการเป็นเทพอสูรแท้จริงได้ ไม่คิดว่าจะถูกใช้เป็นยานพาหนะเช่นนี้
“ใครกันทำตัวดูเด่นจริงๆ?” จิ่วโยวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยชอบใจกับคนที่ใช้เทพอสูรเป็นสัตว์เลี้ยง
มู่เฉินส่ายหัว ก่อนที่เสียงตื่นเต้นปนอิจฉาจะดังก้องออกมาจากโรงเตี๊ยม
“อลังการแบบนี้ ลวดลายบนรถแบบนี้ ท่าทางจะมาจากแคว้นเซี่ย…”
“จุ๊ๆ สมเป็นเจ้าเขตตะวันออกอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าพวกเขาก็มาเช่นกัน ในรถม้านั่นจะต้องมีองค์ชายแคว้นเซี่ยแน่นอน”
“เฮ้ มีเสียงหัวเราะพะเน้าพะนอของหญิงสาวมาจากในรถม้า ดูท่าคนนี้จะชื่นชอบเรื่องดังกล่าว ในแคว้นเซี่ยนอกจากองค์ชายสี่เซี่ยหงแล้วก็คงไม่มีใครอื่น”
“โอ้? องค์ชายสี่เซี่ยหง? คนที่อยู่อันดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวเหรอ?”
“ก็เขาคนนี้แหละ มีข่าวลือว่าเขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว ทว่าเส้นทางการเพาะบ่มกลับมุ่งไปทางกามารมณ์ ซึ่งส่งผลให้เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว”
เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินก็หรี่ตาลง ที่แท้ก็องค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย มิน่าล่ะถึงฟุ่มเฟือยแบบนี้ แคว้นเซี่ยทรงพลังและมีรากฐานหยั่งลึกในภูมิภาคทางตะวันออก
“แคว้นเซี่ยทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เทียบกับภูมิภาคทางเหนือที่มีความขัดแย้งไม่หยุด ภูมิภาคตะวันออกดูสงบกว่าเยอะ ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะมีแคว้นเซี่ยเป็นเจ้าเขตปกครองเอาไว้
จิ่วโยวพยักหน้ากำลังจะพูด แต่ความสนใจก็ถูกดึงดูดโดยเสียงในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
“แม้ว่าเซี่ยหงจะใช้ได้ แต่เขาก็ยังจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับรัชทายาทเซี่ย”
“ฮ่าๆ แน่นอน ชื่อเสียงของรัชทายาทคนนี้กระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในฐานะอันดับสี่ของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซี่ยหง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนับถือและเคารพต่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ย
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหัวใจของมู่เฉินและจิ่วโยวก็สั่นสะท้าน ท่าทางเคร่งเครียดลง รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยทรงพลังขนาดนั้นเชียว ถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบ ซึ่งแทบไม่ด้อยไปกว่าจาโหลหลัวเลย
แคว้นเซี่ยไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแท้จริง ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วน
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับพลังของแคว้นเซี่ย ชายคนหนึ่งก็เดินออกจากรถม้าพร้อมกับหญิงงามขนาบทั้งสองข้าง
เมื่อเขาเดินออกมาก็ดึงดูดสายตาจ้องมองนับไม่ถ้วน เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง ความสูงศักดิ์ปลดปล่อยออกมาจากร่าง ใบหน้าค่อนข้างขาวและมีรอยยิ้มที่อยู่ข้างริมฝีปากซึ่งดูร้ายไม่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
เขาคนนี้คือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย…เซี่ยหง
เซี่ยหงจ้องมองจากด้านบน กวาดสายตาอย่างไม่แยแสราวกับจักรพรรดิเดินทางเยี่ยมเยือนในดินแดนทุรกันดาร ก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวที่นั่งอยู่กับมู่เฉิน ด้วยสายตาอ่อนไหวต่อความงาม
วันนี้จิ่วโยวสวมชุดสีดำด้วยรูปร่างเพรียวบางและมีเสน่ห์จึงเน้นย้ำความประณีตหยดย้อย นางมีใบหน้าที่งดงามและนิสัยที่นิ่งสงบก็ทำให้ดูมีรัศมีเย็นชา นอกจากนี้หลังจากที่สายเลือดวิหคอมตะตื่นขึ้น รัศมีสูงส่งที่เปล่งออกมาจากสายเลือดก็ทำให้นางยิ่งพิเศษยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นเมื่อเซี่ยหงเห็นจิ่วโยวประกายแสงก็วูบวาบในดวงตาส่วนลึก
แต่ก่อนที่เขาจะมองได้นานอีกหน่อย จิ่วโยวที่รู้สึกถึง ใบหน้าสาดไอเย็นชาลง สายตาเยือกเย็นของนางกวาดออก ซึ่งทำให้สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไป ชัดว่ารู้สึกถูกคุกคาม
“น่าสนใจ…”
เซี่ยหงยิ้มสบายๆ ไม่คิดว่าหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนนี้จะมีพลังที่น่าทึ่งซึ่งไม่อ่อนแอกว่าตนเอง
สายตาเซี่ยหงกะพริบวูบไหวทว่าก็ไม่ได้พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า เขาพยักหน้ายิ้มให้จิ่วโยวจากระยะไกลช่างเป็นบุรุษเหลือเกิน โดยไม่สนใจมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างสักนิด
ทว่าตอบสนองต่อท่าทางนั่น จิ่วโยวยังคงแสดงความเย็นชา แสงเย็นเยือกกลั่นตัวในดวงตา เตรียมจะขยับเข้าซัดจอมอวดตัว
แต่ขณะที่นางกำลังจะออกตัวแรง มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาตบเบาๆ บนมือนางแล้วยิ้ม “ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของเจ้าจะไม่น้อย ดึงดูดคนได้เยอะเลย”
เมื่อได้ยินการหยอกล้อ จิ่วโยวก็อดกลอกตาไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงออกที่เย็นชานี่อ่อนโยนกว่าหลายเท่า ซึ่งเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่หายาก
เซี่ยหงก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉินและท่าทางของจิ่วโยว ทันใดนั้นดวงตาก็หรี่แคบลง ก่อนจ้องมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขามาก…
สัมผัสสายตาของเซี่ยหง มู่เฉินก็ยิ้มบางเงยหน้าขึ้นโดยไม่กลัวอีกฝ่าย
ในเมืองที่คึกคัก สายตาสองสายก็ฟาดฟันกันอย่างเยือกเย็นเงียบๆ