หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1096 ศึกษาค่ายกล
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1096 ศึกษาค่ายกล
การประมูลในเมืองซีปิดฉากลง
หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งเมืองถึงกับแผ่นดินไหว ทุกคนต่างตกใจกับราคาสุดท้ายที่พุ่งไปสูงถึงสี่สิบหน้าล้านหยดของเหลวจื้อจุน ขณะเดียวกันก็คาดเดาตัวตนของหลินจิ้งไปต่างๆ นานา
แม้ว่าการประมูลจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ที่มีไหวพริบก็รู้ดีว่าเรื่องเกี่ยวกับป้ายนี้ยังไม่สิ้นสุด ด้วยความสนอกสนใจกันมากทำให้เหล่าจอมยุทธ์มารวมตัวกันในเมืองแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถชนะการประมูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของป้ายที่แท้จริง…
อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถูกกล่าวขวัญในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในทวีปเทียนหลัวไม่ได้เป็นแบบนั้น ชื่อเสียงของพวกเขาไม่มากนัก มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงไม่ต่างกันอยู่ในเมืองซีมากมาย ซึ่งเซี่ยหงและคนอื่นก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิในหมู่คนรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ตราบใดที่ผู้นำอัจฉริยะของขั้วอำนาจชั้นสูงต่างๆ ไม่เผยตัว พวกเขาก็นับว่าไม่มีใครสู้ได้
แม้ว่ามู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่ใช่ธรรมดา แต่ก็มีขุมพลังระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นหากต้องปะทะกับคนอย่างเซี่ยหงก็ยังมีช่องว่างอยู่ดี
ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจต่างๆ รู้ว่าป้ายตกอยู่ในมืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะไม่ผิดหวังพวกเขากลับวางแผนร้ายกันในใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าต้องมีขั้วออำนาจอื่นๆ คอยจับตาดูกลุ่มของมู่เฉินเช่นกัน เมื่อไรที่การต่อสู้ระเบิดออก พวกเขาก็อาจมีโอกาสขโมยป้ายมาได้…
สำหรับผลลัพธ์ของกลุ่มมู่เฉินไม่มีใครสนใจ ในมุมมองของคนอื่นคนธรรมดาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คนที่มีสมบัติเป็นอาชญากร คราวนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์คงจะต้องเสียหายอย่างหนักแล้ว
ดังนั้นคลื่นใต้น้ำและพายุคลั่งจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองซี
ที่สวนกว้างแห่งหนึ่งในเมืองซี
ประตูสวนถูกปิดอย่างแน่นหนาพร้อมกับค่ายกลบนท้องฟ้าป้องกันการสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก
มู่เฉินยืนอยู่ในสวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเราคงกลายเป็นเป้าของทุกคนในเมืองซีตอนนี้แล้วแหละ”
จิ่วโยวที่ด้านหลังก็พยักหน้าพูดเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะเอาป้ายออกไปจากที่นี่นะ”
“สุดท้ายก็เพราะเราอ่อนแอเกินไป” มู่เฉินส่ายหัว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เป็นที่รู้จักในทวีปเทียนหลัวเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มของเขามีเพียงจิ่วโยวเท่านั้นที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่มู่เฉินก็ยังถูกมองอยู่นอกสายตา
“ดูเหมือนว่าข้าซื้อของสร้างปัญหาให้พวกเจ้าซะแล้ว…”
ที่ด้านหลังหลินจิ้งกำลังเอื้อมมือเล่นกับนกตัวเล็กๆ ในสวน นางเงยหน้าขึ้นยิ้มน่ารัก “ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกมาเลยนะ”
มู่เฉินหันมามองนางพลางหรี่ตาแคบลง หลินจิ้งแทบไม่มีการรั่วไหลของคลื่นหลิง เห็นได้ชัดว่านางต้องมีสมบัติบางอย่างที่ปกปิดคลื่นพลังงานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจจับพลังได้
แต่เมื่อตอนที่พบกับครั้งแรก หลินจิ้งอยู่ในขุมพลังเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังตามหาวัตถุดิบในการชำระร่างเทห์สวรรค์เหมือนกัน หลายปีผ่านไปด้วยตัวตนของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม พร้อมกับการชี้แนะของบิดาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พลังของนางคงไม่อ่อนไปกว่าเขา
บวกกับรากฐานที่ลึกซึ้งของแคว้นหวู หลินจิ้งคงมีสมบัติมากมายที่ใช้ปกป้องตนเอง ตามการคาดเดาของมู่เฉิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถฆ่านางได้
ทว่าเผชิญกับผู้ช่วยอย่างนางที่สามารถสนับสนุนได้ดีเช่นนี้ มู่เฉินกลับยิ้มพร้อมส่ายหัว “ถ้าข้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องป้ายนี้ได้ ก็ควรมอบให้คนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซะจะดีกว่า”
เขาฉายสีหน้าสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสงบของเขายิ่งทำให้หลินจิ้งชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก
มิน่าล่ะมารดาของนางถึงประเมินมู่เฉินไว้สูง ในตอนนั้นหลินจิ้งยังไม่เห็นด้วยเลย แต่หลังจากหลายปีผ่านมา มู่เฉินก็แสดงศักยภาพเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาต่างจากคนทั่วไป
“งั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เราจะถูกล้อมทันทีที่ออกจากเมือง” จิ่วโยวถาม
เปลือกตาของของมู่เฉินหลุบลงก่อนจะตอบเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รอเถอะ…ในเมื่อคนอื่นๆ ดูถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็ให้พวกเขามาลองดู”
“ตอนนี้เราต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่พอดี!”
ทิวทัศน์ราตรีโอบล้อมผืนดิน
มู่เฉินนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในห้องพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัว เวลานี้คลื่นหลิงในฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยการสะบัดมือ วัตถุสองชิ้นก็ปรากฏที่เบื้องหน้า
หนึ่งภาพค่ายกล หนึ่งป้าย
นี่คือภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่ไม่สมบูรณ์และป้ายทองคำลึกลับซึ่งเขาได้รับจากการประมูล
เมื่อมองไปที่วัตถุทั้งสองมู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะหยิบภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าภาพค่ายกลนี้สมบูรณ์แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริงก็ยังมีปัญญาในการตั้งรับ
หลิงเจิ้นจงซือเป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลทุกคน ตราบใดที่ผู้ฝึกก้าวเข้าสู่ระดับนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว
แน่นอนว่าระดับสูงสุดแท้จริงในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลก็คือการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือ
ระดับนั้นเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ซึ่งหลิงเจิ้นต้าจงซือหาได้ยากแม้แต่ในมหาพันภพ แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกภาคภูมิใจก็คือมารดาของเขาคือหนึ่งในนั้น
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง… รวมทั้งพี่หลิงซีด้วย นับตั้งแต่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางก็ไม่มีข่าวอีกเลย นางบอกว่าจะไปหาท่านแม่ ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
มู่เฉินลูบภาพค่ายกลโบราณความคิดล่องลอยไป แต่สุดท้ายเขาก็หายใจลึกระงับอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเกือบบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะด้วยพัฒนาการที่มีทุกครั้ง เขาก็เริ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงเผ่าทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังมารดา ซึ่งเผ่านี้แม้แต่มารดาของเขาซึ่งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือในตำนานก็ยังครั่นคร้าม แม้ว่าจะส่วนเพื่อปกป้องเขาและบิดาให้ปลอดภัย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเผ่านั้นมีอำนาจมากเพียงใด
มู่เฉินเม้มริมฝีปากจดจ่ออยู่กับภาพค่ายกล เมื่อหลับตาลงคลื่นหลิงก็พวยพุ่งขึ้นในมือไหลเข้าไปในภาพค่ายกลรุ่งริ่ง
ตู้ม!
คลื่นหลิงแทรกซึม การรับรู้ก็ระเบิดดังก้องในห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน แสงงดงามพลุ่งพล่านเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ไปทันที
ภาพชายชราคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา ขณะที่แขนเสื้อโบกสะบัด สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ท่วมท้นขึ้นมาราวกับคลื่นยักษ์ในทุกทิศทางผสานเข้ากับความว่างเปล่า ก่อร่างเป็นลวดลายที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อลวดลายเหล่านั้นไขว้พันกัน ก็ทำให้พลังงานระหว่างสวรรค์และโลกแปรปรวน
ค่ายกลค่อยๆ ถักทอขึ้น ชายชราก็พลิกนิ้วแสงเก้าสายครางกระหึ่มออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรลึกลับ
เกลียวแสงทั้งเก้าสายวิ่งเข้าไปในค่ายกล เมื่อแสงจางลงก็เผยให้เห็นกระดูกมังกรโบราณถึงเก้าชิ้น!
กระดูกมังกรทั้งเก้าก่อตัวเป็นศูนย์กลางของค่ายกล เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ดูเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครอบงำ พลังไร้ขอบเขตรวมตัวกันรอบกระดูกมังกร สร้างเนื้อเลือดขึ้นจากกระดูกทั้งเก้าให้กลายเป็นมังกรจริงเก้าตัว!
ทว่ามังกรเหล่านี้ไม่ใช่ร่างเนื้อแท้จริง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิง
ถึงกระนั้นมังกรทั้งเก้าก็ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังและน่ากลัวออกมา
ฟิ้ว!
เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อร่างขึ้น แสงก็ส่องสว่าง ภาพเงาทะยานออกมาพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัว ซึ่งนั่นก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!
ชายชราสร้างค่ายกลอย่างนิ่งสงบจากนั้นก็สะบัดนิ้วอีกครั้ง มังกรเก้าตัวเริ่มแผดเสียงพร้อมกับลมหายใจมังกรเก้าสายพุ่งทะลุผ่านมิติกระแทกลงบนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน
ปัง!
การโจมตีครั้งเดียวก็ทำเอาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นออกไปในสภาพน่าสมเพช เลือดไหลออกมาจากทั่วทุกรูขุมขน คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดลงอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ภาพเบื้องหน้าจบลง ตามด้วยข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สมองของมู่เฉิน
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและพึมพำกับตัวเอง “ช่างเป็นค่ายกลที่ซับซ้อนและทรงพลังอะไรอย่างนี้…”
เขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ พิจารณาจากข้อมูลที่ไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เขาสามารถสรุปได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารไม่เพียงแต่จะยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีของสำคัญอย่างกระดูกมังกรเป็นศูนย์กลางอีกด้วย
นอกจากนี้กระดูกมังกรยังเชื่อมต่อกันโดยผ่านรัศมีที่เหลืออยู่เพื่อสร้างมังกรและโดยการรวบรวมของของสองสิ่งนี้เท่านั้น ค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุน
“ทว่าเนื่องจากม้วนภาพไม่สมบูรณ์ ต่อให้ทำการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายก็น่าจะสามารถสร้างมังกรได้สี่ตัวเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากมังกรเก้าตัวมากเลยทีเดียว”
มู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่จากนั้นก็โล่งใจ ถ้าภาพค่ายกลอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดเรียงค่ายกล ด้วยความสามารถที่บรรลุในปัจจุบันของเขา
ในทางตรงกันข้ามภาพค่ายกลไม่สมบูรณ์นี้ อาจเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จหากศึกษาให้ดี
“ดูเหมือนว่าข้าต้องรวบรวมกระดูกมังกรเตรียมไว้ก่อน…” มู่เฉินพูดกับตัวเอง จากที่ค่ายกลเผยในห้วงแห่งจิต ยิ่งกระดูกมังกรแข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้น
แต่ตัวเขาตอนนี้ยังไม่ต้องการกระดูกมังกรที่มีคุณภาพสูงมาก ดังนั้นคงไม่ยากเกินไปที่จะจัดหามา
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เลื่อนสายตามาที่ป้ายทองคำโบราณ…