หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1136 อสรพิษกลืนฟ้า
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1136 อสรพิษกลืนฟ้า
“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
พูดจบมู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นในมือ ขณะที่เกลียวแสงพวยพุ่ง ผนึกหลิงยิ่งก็กลั่นตัวยิงเข้าไปในอากาศผสมผสานเข้ากับชั้นบรรยากาศภายใน
ค่ายกลศพวิญญาณไม่ธรรมดา ตามการคาดการณ์อาจถือได้ว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือหากอยู่ในสถานะสมบูรณ์ แต่โชคดีที่มันได้รับความเสียหายจากกาลเวลาจนเกิดตำหนิอยู่ภายในมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือ
เมื่อผนึกหลิงยิ่งรวมเข้ากับค่ายกลอย่างต่อเนื่องก็ค่อยๆ ผันผวน บางส่วนของขบวนแถวแสงหยุดชะงักจางหายไป
มู่เฉินไม่ได้ทำลายค่ายกลอย่างสมบูรณ์เพราะจะเสียเวลามากเกินไป เขาเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดซึ่งก็คือทำลายแกนบางส่วนทำให้เกิดการกระจัดกระจายซึ่งจะเสียสมดุลและพังทลายลงเอง
ขณะที่ค่ายกลศพวิญญาณแปรปรวน ดวงตาของเซียวเซียวก็สว่างขึ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเส้นทางศาสตร์ค่ายกลจนมาถึงจุดนี้
ฮึ่ม ฮึ่ม
การสั่นสะเทือนแผ่เป็นระลอกเนื่องจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่บิดเบี้ยวมาจากค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดค่ายกลก็ไม่สามารถยึดติดไว้ได้อีกต่อไป แตกเป็นเสี่ยงๆ จากการระเบิด
คลื่นหลิงกวาดออกไปในท้องฟ้า รัศมีความตายกวาดออกไปพร้อมกับการทำลายล้างของค่ายกล ทำให้สวรรค์และโลกเย็นเยือกลงทันที
แต่โชคดีที่พวกเขาเตรียมพร้อม หมุนเวียนพลังงานเพื่อปกป้องร่างกายไม่ปล่อยให้รัศมีความตายโจมตีเข้ามาได้
คลื่นกระแทกจากรัศมีความตายกินเวลาหลายนาทีก่อนจะสลายไป หญิงสาวทั้งสามมองไปข้างหน้าด้วยความยินดี ยามนี้ค่ายกลศพวิญญาณจางหายไปอย่างสมบูรณ์
“ไม่เลวๆ ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง ท่าทางข้าคงต้องมองเจ้าในแง่มุมใหม่แล้ว” เซียวเซียวยิ้มเบาๆ นางพอใจกับวิธีของมู่เฉินมาก ถ้าต้องทำเองนางอาจต้องใช้วิธีที่ลำบากที่สุดก็คือทำลายค่ายกลอย่างรุนแรง แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพจะต่ำ ถ้าเกิดทำลายไข่มุกจิตตะมังกรไปด้วย ทุกอย่างก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
“ยังมีศพมังกรวิเทศอยู่” มู่เฉินชี้ไปที่มังกรบนพื้น นั่นเป็นตัวปัญหาอีกหนึ่งเนื่องจากรัศมีความตายครอบงำอย่างมาก หากรัศมีความตายบุกเข้าสู่ร่างกายก็จะสร้างความเสียหายให้พวกเขามากแน่นอน
“ให้ข้าจัดการเอง” เซียวเซียวยิ้มบางทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาปั้นแต่งจากสวรรค์และโลก นางยื่นมือออกไปวางงูเจ็ดสีลงแล้วตบหัวมันเบาๆ
วาบ!
งูเจ็ดสีชูคอขึ้นทันที กลายเป็นริ้วแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นเหนือร่างศพมังกรในพริบตา
โฮก!
แม้ว่ามังกรจะไม่มีชีวิตแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามลึกพลางอ้าปากกว้าง รัศมีความตายสีเทาพุ่งออกมา ทำให้พื้นที่ที่ถูกรัศมีความตายกวาดใส่มืดมนลง
ทว่าเจ้างูเจ็ดสีไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีความตาย เมื่อรัศมีห่อหุ้มเข้ามางูน้อยก็ค่อยๆ อ้าปากแสงสีดำควบแน่นอยู่ภายใน
ซู้ด!
แม้ว่าปากของงูเจ็ดสีจะไม่ใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ราวกับหลุมดำ แรงดูดน่ากลัวระเบิดออกมากลืนกินรัศมีความตายรุนแรงเข้าสู่ร่างกายในอึกเดียว
หลังจากกลืนกินรัศมีความตายรุนแรง งูเจ็ดสีก็ไม่แสดงอาการถูกกัดกร่อนยังคงดูร่าเริงมีชีวิตชีวา
เมื่อมู่เฉิน หลินจิ้งและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ต้องตกใจ งูเจ็ดสีน่ากลัวถึงขนาดนี้เชียว มันสามารถกลืนกินรัศมีความตายได้เลยเรอะ?
ฟ่อ ฟ่อ!
หลังจากกลืนกินรัศมีความตาย งูเจ็ดสีก็อ้าปากพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อ หลุมดำหมุนคว้างพร้อมกับแสงระยับสีดำพุ่งออกมามัดเข้ากับมังกรก่อนที่แรงดูดจะระเบิดออกค่อยๆ ดึงร่างมังกรเข้าไปในหลุมดำ
แม้ว่ามังกรจะต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้เนื่องจากไร้สติปัญญา ในทางตรงกันข้ามเมื่อมันดิ้นแรงขึ้นแรงดูดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก่อนจะถูกดึงเข้าไปในหลุมดำที่หมุนคว้าง
ศพมังกรหายไปทันทีหลังจากถูกดึงเข้าไปในหลุมดำ จากนั้นงูเจ็ดสีก็อ้าปากกลืนหลุมดำลงไป งูน้อยปล่อยเสียงเรอดังลั่นแล้วค่อยๆ ลอยกลับมาลงบนมือของเซียวเซียว มุดเข้าไปขดตัวในแขนเสื้อ
ทั้งสามต่างตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ เพียงไม่กี่นาทีศพมังกรวิเทศก็ถูกจัดการจนสิ้นซากแล้วเรอะ? แม้ว่ามังกรตัวนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ก็เทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม หากพวกเขาจัดการก็จะต้องใช้เวลามาก แต่งูเจ็ดสีกลับกินเข้าไปได้อย่างง่ายดายเนี่ยนะ?
“นี่คือเทพอสูรอะไร?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
“นี่คืออสรพิษกลืนฟ้าเจ็ดสี… มันไม่ใช่เทพอสูรของมหาพันภพ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้นก็จะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเทพอสูรของที่นี่ได้” เซียวเซียวตอบ
หลินจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าหนึ่งในนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมีอสรพิษลึกลับที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลก ซึ่งเคยกลืนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย… มีข่าวลือว่าแม้แต่สมาชิกเผ่ามังกรก็ยังกลัวอย่างมากหากพบอสรพิษตัวนั้น”
“นั่นท่านแม่ข้าเอง” เซียวเซียวเผยรอยยิ้มสดใสขณะพูดต่อ “แต่เจ้างูของแม่ข้าน่ากลัวยิ่งกว่า ที่เสี่ยวไฉ่สามารถกินศพมังกรวิเทศได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะมันไม่เหลือสติปัญญาและไม่รู้ว่าจะหลบยังไง ไม่งั้นก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับมันที่จะหลีกเลี่ยงระยะกลืนกิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้ยินเรื่องอสรพิษกลืนฟ้า แต่ตัดสินจากพลังแล้ว มันจะเป็นการดำรงอยู่สั่นสะเทือนโลกาแน่นอนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
แคว้นหวู่จิ่งฮั่วพิเศษแท้จริง แค่นายหญิงคนเดียวก็น่ากลัวเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะน่ากลัวแค่ไหน
เทพจักรพรรดิอัคคีคงได้รับการพิจารณาอยู่ในอันดับสูงสุดแม้ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสินะ
หลังจากที่เซียวเซียวจัดการกับศพมังกรวิเทศแล้วก็เดินไปที่บัลลังก์และยื่นมือออกไป ไข่มุกค่อยๆ ตกลงมาในมือนาง
เมื่อไข่มุกจิตตะมังกรวางบนมือนาง งูเจ็ดสีก็โผล่หัวออกมาอีกครั้งและกินไข่มุกเข้าไป จากนั้นพวกมู่เฉินก็มองเห็นรัศมีไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากงูน้อย ลวดลายที่อยู่บนตัวมันเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อย
หลังจากกินไข่มุกแล้วเจ้างูดูเหมือนจะใช้พลังงานไปไม่น้อย จึงมุดตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซียวอย่างหมดแรง
มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าหลังจากอสรพิษกลืนฟ้ากินไข่มุกจิตตะมังกรเข้าไป แม้แต่คลื่นหลิงของเซียวเซียวก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น
ดูเหมือนว่าจะมีการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างเซียวเซียวกับอสรพิษกลืนฟ้า ซึ่งช่วยเพิ่มพลังหลิงของเธอด้วยเช่นกัน
รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเซียวเซียว ดูเหมือนว่าอิทธิพลของไข่มุกจิตตะมังกรค่อนข้างดีเลยทีเดียว นางยกมือขึ้นก็เห็นป้ายแสงปรากฏที่หลังมือซึ่งอยู่ในรูปของมังกร นี่น่าจะเป็นป้ายยินยอมของผู้บัญชาการตำหนักมังกรแน่แล้ว
“ยินดีด้วย” มู่เฉินยิ้ม ด้วยป้ายตำหนักมังกรนั่นก็หมายความว่าเซียวเซียวได้รับสิทธิ์ในพิธีชำระล้าง
“ต้องขอบคุณเจ้านะ” เซียวเซียวยิ้มขณะที่สบตากับมู่เฉิน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมาทันเวลา นางอาจปะทะหลินจิ้งจนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ เพราะยังไงหลินจิ้งก็เป็นองค์หญิงแคว้นหวู ไม่มีทางที่จะไม่มีไพ่ตาย
“ไปกันเถอะ ในเมื่อเราได้รับสมบัติแล้วก็มุ่งหน้าไปทะเลสาบสวรรค์กัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้สำรวจตำหนักอีกเจ็ดแห่ง แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะค้นหาทั้งหมด เพราะยังไงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรับป้ายยินยอมเพิ่ม มิหนำซ้ำอาจจะดึงดูดความเป็นศัตรูกับกลุ่มอื่นๆ หากพวกเขาสร้างความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณชนก็จะเป็นเรื่องลำบากแน่นอน เนื่องจากทุกกลุ่มที่นี่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงเป็นภูมิหลัง ถ้าพวกเขายั่วยุมากเกินไปแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะตกที่นั่งลำบาก
หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า ในเมื่อได้รับป้ายกันครบแล้ว พวกนางก็ไม่โลภมากที่จะไปเอาสมบัติจากผู้บัญชาการคนอื่นเพิ่มเช่นกัน
ดังนั้นทั้งสี่จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งผ่านหมอกพิษหนาแน่นจากไป
ขณะเดียวกันผู้คนก็มารวมตัวกันนอกเกาะมังกรมากขึ้น เพราะมีเกาะลอยจำนวนมากในวังสวรรค์บรรพกาลซึ่งจะใช้เวลานานเกินไปหากค้นหาทีละเกาะ ในเมื่อเกาะมังกรแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาก็ต้องมารวมตัวกันโดยธรรมชาติ
อีกมุมหนึ่งของเกาะมีกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ริมขอบเกาะวางแนวกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้
แม้ว่าผู้คนจะไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ นั่นเป็นเพราะการรวมตัวกลุ่มนี้น่าตื่นตาและน่าตกใจ
ในกลุ่มคนมีจอมยุทธ์หลายสิบคน ซึ่งเกือบสิบคนในนั้นอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด มิหนำซ้ำทั้งหมดยังมีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวติดอันดับหนึ่งในสิบห้าของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่
โดยเฉพาะชายชุดคลุมสีทองที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงความสุขุม ขณะที่ยิ้มก็จะมีแรงกดดันทรงพลังปล่อยออกมาจนคนอื่นตกใจ
ชายคนนี้ก็คือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย—เซี่ยหยู่!
“องค์ชายใหญ่พวกเราจะไม่เข้าไปเหรอขอรับ?” มีคนพูดที่ด้านข้างเซี่ยหยู่
เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มอ่อน “ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปค้น หากมีใครออกมาเราก็จะเชิญพวกเขามาพูดคุย”
เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยหยู่ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยหยู่เป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง เพียงแค่เฝ้ารอที่นี่ ไม่ว่าใครจะนำสมบัติออกจากเกาะมังกรก็จะตกอยู่ในมือพวกเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้คนโชคร้ายเหล่านั้นค้นให้พอใจ
เซี่ยหยู่ยิ้มขณะที่กำลังจะพูดต่อหัวใจเขาก็สั่นไหว เขาหรี่ตาลงมองไปที่หมอกหนาทึบ เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างก่อนที่ภาพเงานั้นจะเหาะเหินออกมา
เมื่อเซี่ยหยูเห็นเงานั่น เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก
นั่นมันไอ้สารเลวมู่เฉิน…ดูท่าโชคของไอ้นั่นจะไม่ดีเลยจริงๆ