หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1140 ความเป็นปฏิปักษ์
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1140 ความเป็นปฏิปักษ์
สองสายตาฟาดฟันที่กลางอากาศแม้แต่มิติก็ยังบิดเบี้ยว
สายตาของจาโหลหลัวคล้ายกับเหวเมื่อมองมาที่มู่เฉิน รอยยิ้มบางเบาที่ประดับบนริมฝีปากเสมอเหมือนจะจางหายไป เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นผิดแผกในร่างของมู่เฉิน มากจนมิติที่อยู่เบื้องหลังเขาก็สั่นไหวเบาบาง ก่อนจะก่อร่างเป็นภาพเงาขนาดใหญ่
ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนถูกกระตุ้นออกมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ
ทว่าสุดท้ายจาโหลหลัวก็สามารถปราบปรามลงได้ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
เมื่อไอสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัวคลื่นหลิงที่คล้ายกับภูเขาไฟก็ระเบิดออกจากร่างกาย ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นมืดมน แรงกดดันเพิ่มขึ้นจากร่างเขา
ภูเขาที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังกลัวที่จะถูกทำลาย
ฮึ่ม!
เมื่อจาโหลหลัวเปิดเผยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเดียวกัน แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังออกมา มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนบนแขนของเขา ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา
มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตสั่นสะท้านทั่วขอบฟ้า
ทั้งสองคนแค่สบตากันก็เปิดเผยเจตนาฆ่าออกมา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่สัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะของกันและกัน
ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ หากพวกเขาต้องการให้ร่างเทห์สวรรค์เกิดวิวัฒนาการก็จะต้องเอาชนะคู่แข่ง เพราะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินปลดปล่อยคลื่นหลิง นางก็หมุนเวียนพลังงานโดยไม่ลังเล ผลึกเพลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อึ้งไปชั่วขณะ ชัดว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ชายสองคนนี้ถึงดูเหมือนจะเปิดศึกมรณะ ทว่าพวกนางก็รู้สึกงงงวยชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ผันผวนออกจากร่างกาย
เมื่อเทียบกับมู่เฉินแล้วจาโหลหลัวเป็นคนแปลกหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนต่อกรยาก แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เลือกที่จะช่วยเหลือสหายอย่างมู่เฉินเต็มกำลัง
ดังนั้นทั้งสามสาวจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาที่เบื้องหลังมู่เฉิน การเคลื่อนไหวของพวกนางระงับคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัวอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่ถูกผลักกลับไปในระยะร้อยจั้งรอบร่างจาโหลหลัว
เมื่อจาโหลหลัวเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเหลือบเซียวเซียวกับหลินจิ้ง เขาสัมผัสได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเอง
หากนี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวเขาไม่เกรงกลัวมู่เฉินสักนิด แต่อีกฝ่ายมีกลุ่มทรงพลัง ถ้าพวกเขาต่อสู้กันชัดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้จาโหลหลัวก็ไม่คิดที่จะดำเนินการใดๆ ที่ไม่จำเป็น เขาค่อยๆ ดึงจิตสังหารในส่วนลึกของดวงตากลับเข้าไป ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มให้มู่เฉิน “ไม่คิดว่าเจ้าก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน เป็นโชคชะตาที่เราได้เจอกันวันนี้”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีการรวมตัวทรงพลัง แต่จาโหลหลัวก็ยังคงนิ่งสงบโดยไม่เปิดเผยความเกรงกลัวใดๆ เพียงแค่จิตใจนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินยกย่องในใจ จาโหลหลัวไม่ธรรมดาแท้จริงสมกับเป็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ
“ชะตากรรม” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ถ้าเป็นคนไม่รู้อะไรอาจคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานด้วยซ้ำ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสังหาร
ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่สหาย แต่เป็นศัตรู
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นหนึ่งในศัตรูยิ่งใหญ่ที่สุดในการชิงวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ แต่มู่เฉินก็ไม่คิดใช้ประโยชน์จากสตรีเพื่อกำจัดอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะเขารู้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน จาโหลหลัวก็มีหนทางหลบหนีไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ตอนนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการได้รับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
แน่นอนว่าแม้เขาจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะสู้ในขณะนี้ แต่มู่เฉินก็ยังคงจ้องมองไปที่จาโหลหลัวแบบตื่นระวังในดวงตา
“ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มสบายอารมณ์ก่อนที่จะถอยหลังหลบฉากออกไป
“ชายคนนั้นเคี้ยวยาก เราประมาทไม่ได้ เจ้าไปแตะกระดานเหล็กแบบนั้นได้ยังไง?” เซียวเซียวมองไปที่จาโหลหลัวที่ถอยห่างออกไปพลางเลิกคิ้วขึ้น ชายคนนั้นทรงพลังมากและยังเก่งบุ๋นและบู๊ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ นางเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ปะทะกัน ถึงอย่างนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย
“นี่เป็นการพบกันครั้งแรก ข้าไม่เคยไปได้ยั่วอะไรเขา” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่ว่าพวกข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ”
ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเซี่ยหยู่ มู่เฉินรู้ชัดว่าต่อให้เขาต้องการถอย จาโหลหลัวก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา ดังนั้นระหว่างพวกเขาสองคนจึงมีเพียงหนึ่งเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ได้
“งั้นก็ฆ่าเขาซะ” หลินจิ้งตบไหล่มู่เฉินขณะให้กำลังใจ “แม้ชายคนนั้นจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยิ้มแน่นอน”
“เชื่อมั่นในตัวข้าขนาดนี้เลยหรอ…” แม้แต่มู่เฉินก็ประหลาดเล็กน้อย
ริมฝีปากของหลินจิ้งโค้งขึ้นขณะตอบ “ท่านแม่ของข้าประเมินเจ้าไว้สูงมากในตอนนั้น ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการกับชายคนนั้นได้ก็น่าอายเกินไป”
มู่เฉินกลอกตากับคำพูดของนาง
จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มล้อเล่น “แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวไม่มีความเป็นมิตรให้เจ้าเลยนะ”
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาเหลือบมองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง “ข้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อนสนับสนุน”
เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันกลุ่มของพวกเขาก็ทรงพลังมาก กระทั่งจู้เยี่ยนที่เผชิญหน้ายังทำได้เพียงถอยหนี
เมื่อหญิงสามคนได้ยินคำพูดของเขาก็กลอกตาบน
“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี? ทะเลสาบสวรรค์อยู่เบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าไปไม่ได้” เซียวเซียวดึงหัวข้อกลับมาอย่างรวดเร็วขณะมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่
มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่มองไปรอบๆ ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ทะเลสาบสวรรค์น่าจะถูกผนึกไว้ ซึ่งเป็นไปสูงที่จัดตั้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้พลังเพื่อเข้าไป”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไง?” หลินจิ้งถาม เป้าหมายอยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงุ่นง่านที่ไม่สามารถเข้าไปได้
ทว่ามู่เฉินกลับสงบนิ่งตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบ รอจนกว่าป้ายยินยอมจากเก้าตำหนักมาที่นี่ ผนึกก็จะเปิดออกเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสให้เข้าไป”
ก่อนเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เขาได้รับข้อมูลเหล่านี้จากมั่นถัวหลัวมา
เมื่อพวกหญิงสาวได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะนั่งลงบนยอดเขาเริ่มคุยกันเพื่อรอการมาถึงของคนอื่นๆ
พวกเขาไม่รอนานนัก เสียงลมแหวกอากาศก็ดังกึกก้องมาจากระยะไกล ร่างแสงลุกเป็นไฟปรากฏขึ้นหลังจากไม่กี่ลมหายใจ
“หืม เจ้านั่นออกมาแล้วเหรอ? เร็วจริง?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเพลิงก็อุทาน
คิ้วของมู่เฉินกระตุกเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มาถึงก็คือจู้เยี่ยนที่ก่อนหน้านี้ถูกกักไว้ในค่ายกล
จู้เยี่ยนยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับลาวาไหลท่วมร่าง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของพวกมู่เฉินก่อนจะจ้องตอบ “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาสัญญา”
เขาหมายถึงการที่มู่เฉินดักจับเขาเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะเล่นกลในค่ายกล ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรักษาสัญญาที่จะให้กับดักสลายไปตามเวลาที่ผ่านไป
แม้ว่าเขาจะมีหนทางหลบหนีถ้ามู่เฉินไม่คิดปล่อย แต่อย่างน้อยการรักษาสัญญาเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่คาดคิด
มู่เฉินยิ้มให้จู้เยี่ยน “เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”
จู้เยี่ยนยิ้มบาง “แม้ว่าข้าจะผิดคาดที่เจ้ารักษาสัญญา แต่ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเรื่องนั้นไปง่ายๆ หรอกนะ”
“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” มู่เฉินพยักหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหว เขาก็ไม่เคยหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดสันติสุขได้
“เจ้ามาจากเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” ที่ด้านหลังเซียวเซียวก็มองไปที่จู้เยี่ยนด้วยความสนใจ รอยยิ้มแฝงรสชาติบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง
จู้เยี่ยนปรายตามองไปที่เซียวเซียวพลางขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากนาง หญิงสาวลึกลับคนนี้มาจากไหน? เขาไม่เห็นนางอยู่กับมู่เฉินตอนนั้น
เซียวเซียวยิ้มอ่อนก่อนที่งูน้อยเจ็ดสีจะเลื้อยมาบนไหล่พลางแลบลิ้นให้จู้เยี่ยน
เมื่อจู้เยี่ยนมองไปที่งูเจ็ดสี ม่านตาก็หดเกร็งพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป “อสรพิษกลืนฟ้า? เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ? เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”
ตอนนั้นการเดิมพันระหว่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเผ่าเทพอัคคีส่งผลให้เพลิงจักรพรรดิของพวกเขาถูกยึดเอาไป สุดท้ายกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดจะออกจากสมาธิ แต่ก็ไม่สามารถสยบเทพจักรพรรดิอัคคีได้ นี่เป็นความอัปยศอดสูของเผ่าเทพอัคคี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกันเพราะพวกเขาจะฟัดกันทุกครั้งที่เจอ หลายปีที่ผ่านมาจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอัคคีมากมายพยายามสู้เพื่อชิงเพลิงจักรพรรดิกลับมา
ด้วยเหตุนี้เผ่าเทพอัคคีจึงรู้ตื้นลึกหนาบางแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นอย่างดีและรู้ว่าอสรพิษกลืนฟ้าเป็นสมบัติของนายหญิงแคว้นนี้
ในเมื่อเซียวเซียวมีอสรพิษกลืนฟ้า นางก็ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงคนนั้น
“เขาเป็นพ่อข้าน่ะ” เซียวเซียวยิ้มบางโดยไม่คิดปิดบังความจริง
เปลวไฟพวยพุ่งออกจากร่างของจู้เยี่ยนลาวาไหลริน เขาสูดหายใจเข้าลึกจับจ้องไปที่เซียวเซียว ตอนนี้เขาลืมความแค้นที่มีต่อมู่เฉิน มีเพียงเซียวเซียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตา
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็ขอเชิญองค์หญิงไปเยี่ยมเยียนเผ่าเทพอัคคีสักหน่อย แล้วให้บิดาเจ้านำเพลิงจักรพรรดิมาเพื่อแลกเปลี่ยน”
ระเบิดเพลิงเชี่ยวกรากพรูออกมาจากร่างจู้เยี่ยนแผดเผาท้องฟ้า