หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1169 วิธีทำลายค่ายกล
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1169 วิธีทำลายค่ายกล
ประตูหินบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก
แสงส่องทะลุผ่านรอยแยก จากนั้นฉากหลังประตูหินก็ปรากฏในครรลองสายตามู่เฉิน
หลังประตูหินเป็นโถงที่เกิดความเสียหายจากการต่อสู้รุนแรงซึ่งมีเสาหินตั้งตระหง่านอยู่จำนวนมาก
บนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยบาดลึก พื้นดินที่นี่ชัดว่าถูกเสริมความทนทานเมื่อในอดีตโดยค่ายกล แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำลายหนัก
มู่เฉินยังสามารถมองเห็นซากศพเปล่งประกายปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังแม้ว่าชีวิตจะดับสูญไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
ช่างเป็นฉากที่น่าเศร้า
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบนัก สายตาของเขาจดจ่อที่ดอกไม้น่าหลงใหลทรงเสน่ห์สีดำสนิทที่ปลายโถง
รอบด้านดอกไม้กำลังเปล่งรัศมีแสงสีดำราวกับว่าสามารถกลืนกินรังสีแสงได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายโบราณอยู่ในแสงเหล่านั้น
สายตาของมู่เฉินติดอยู่ที่ดอกไม้ เขารู้ว่านี่คือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!
“ในที่สุดก็พบแล้ว”
มู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะที่มองไปที่ดอกไม้ ตราบใดที่เขาสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าฮ่องเต้เซี่ยจะเป็นภัยคุกคาม
ทว่าแม้ร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรโดยประมาทเพราะสัมผัสได้ถึงค่ายกลที่ซ่อนอยู่ในสภาพแวดล้อม
มู่เฉินกวาดสายตาออก จากนั้นก็หยุดลงที่เสาหินทั้งแปด ใต้เสาหินมีโครงกระดูกแปดร่างนั่งอยู่ พวกเขาราวกับสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด เป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดา
แต่เขารู้ว่าศพทั้งแปดเป็นจุดกลางของค่ายกล ซึ่งก็คือจุดกำเนิดพลังของค่ายกลนี้
“ค่ายกลนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์เลย” ท่าทางของมู่เฉินดูเคร่งเครียดมาก ในการรับรู้ของเขา แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูสงบ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากก้าวเข้ามาโดยประมาทก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีทำลายล้างซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ล้มลงได้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น
“ไม่น่าแปลกใจที่มั่นถัวหลัวเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ในอดีต มิฉะนั้นนางคงไม่สามารถหยุดลู่หยวนไม่ให้เข้าใกล้ได้” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าค่ายกลนี้จะช่วยปิดกั้นลู่หยวนในตอนนั้น แต่ก็ปิดกั้นเขาในตอนนี้เช่นกัน
จากสิ่งนี้ก็บอกได้ว่า มั่นถัวหลัวและลู่หยวนในตอนนั้นก็น่าจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย
มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ค่ายกลก็ตกอยู่ในความเงียบ เขานั่งลงที่ชายขอบก่อนที่จะหลับตาเริ่มศึกษาค่ายกลนี้
ไม่ว่าค่ายกลนี้จะทรงพลังเพียงใด เขาก็ต้องทำลาย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องปล่อยร่างหลักของมั่นถัวหลัวไว้ที่นี่เหมือนเดิม
เมื่อเขาหลับตาเส้นใยพลังงานก็แผ่ขยายออกไป เขาค่อยๆ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกล
เค้าโครงค่ายกลปรากฏขึ้นในสมองเขา
ค่ายกลนี้มีความลึกซึ้งและปล่อยความรู้สึกทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหวั่นใจ
เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง
ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินอยู่ในหอสอง เหตุผลที่เขาสามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้อย่างง่ายดายก็คือเขาได้รับแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์มาก่อนและได้ใช้เวลาในการศึกษา ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาข้อบกพร่องและควบคุมได้
แต่ค่ายกลที่เบื้องหน้านี้เป็นค่ายกลระดับจงซือที่ไม่คุ้นเคย
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เขาจะทำลายในช่วงเวลาสั้นๆ
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใจร้อนกลับทำให้หัวใจสงบลง เริ่มสัมผัสถึงทุกจุดของค่ายกล ถ้าเขาต้องการทำลาย เขาก็ต้องได้รับความเข้าใจเพียงพอเพื่อที่เขาจะได้ค้นหาข้อบกพร่องได้
ขณะที่มู่เฉินนั่งหลับตา พื้นที่ทั้งหมดก็กลับสู่ความเงียบงันล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายรกร้าง
เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดทั้งวัน
เขานั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับและคลื่นหลิงก็พลุ่งพล่านรอบตัวรวมตัวกันเป็นภาพจำลองค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ทว่าโครงร่างก็ไม่เสร็จสมบูรณ์และพังทลายลงเรื่อยๆ ส่วนมู่เฉินก็ยังคงยืนหยัดสร้างขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภาพจำลองค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลทรงพลังซึ่งครอบคลุมทั้งโถง
มู่เฉินพยายามสรุปหาข้อบกพร่อง
อีกครึ่งวันผ่านไป
ฮึ่ม
ทันใดนั้นแสงหลิงก็เบ่งบานเบื้องหน้ามู่เฉิน โครงสร้างของค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่งก็ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพจำลอง แต่ก็ยังคงมีความผันผวนน่าอัศจรรย์ปล่อยออกมา
มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและดูอ่อนเพลีย การพยายามในเกือบสองวันนี่เหนื่อยเกินกว่าการต่อสู้กับผู้อาวุโสจั่วเสียอีก
แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาระงับความเหนื่อยล้ามองไปที่ภาพจำลองค่ายกลด้วยดวงตาที่สั่นไหว
“สมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ช่างสลับซับซ้อนมากจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เขาเพียงแค่ติดตามโครงร่างเพื่อสร้างภาพจำลองซึ่งก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดเลยทีเดียว หากเขาต้องการตั้งให้สมบูรณ์แม้ว่าจะคั้นพลังจนแห้งกรอบก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้
ค่ายกลนี้ต้องใช้สัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างน้อยสองสามล้านผนึกสายและหากเขาทำผิดพลาดเล็กน้อยในการเชื่อมโยงก็จะทำให้เกิดการล่มสลายของค่ายกล นี่แสดงให้เห็นว่าการตั้งค่ายกลดังกล่าวยากเพียงใด
แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ไร้ผล
มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่เบื้องหน้า เขาค้นพบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว นอกเหนือจากการใช้กำลังก็ทำได้เพียงตัดแหล่งที่มาของพลัง
สายตาของเขาเลื่อนไปที่ซากศพใต้เสาทั้งแปด
นั่นคือแหล่งพลังงานสำหรับค่ายกล ซึ่งพวกเขาได้ก่อตัวเชื่อมโยงความสมดุลระหว่างกัน
เนื่องจากความสมดุลนี้ ทำให้ไม่ว่ามู่เฉินจะโจมตีจากทางไหนก็จะถูกทั้งแปดศพรุมโจมตี แต่ถ้าสามารถทำลายความสมดุล ค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนี้ก็จะสูญเสียความสมดุลคลื่นหลิงทำให้เกิดความไม่เสถียร ซึ่งเขาก็จะมีโอกาส
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยากมากที่จะนำไปปฏิบัติจริง
เพราะตราบใดที่มู่เฉินมีแววจะโจมตีเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกโจมตีจากค่ายกล แม้แต่กองทัพสังหารวิญญาณก็ไม่สามารถทนได้
ดังนั้นเขาต้องทำลายสมดุลโดยไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยากับค่ายกล
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่คิดว่าจะทำลายสมดุลได้อย่างไร
“ข้าไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการโต้กลับ”
“ความสมดุลของค่ายกลมาจากการควบคุมส่วนกลางของเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังศพทั้งแปด ศพเป็นแหล่งพลังงานและเสาหลักเป็นสะพานเชื่อมเข้าด้วยกัน”
“ดังนั้นถ้าข้าสามารถแยกศพออกจากเสาได้ ข้าก็จะสามารถทำลายสมดุลได้!”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาจ้องมองไปที่เสาทั้งแปดต้นและซากศพระบุตำแหน่งไว้ พักใหญ่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
เขากระทืบพื้นเบาๆ เพื่อทดสอบว่าพื้นแข็งแรงแค่ไหนก่อนจะยิ้ม “ง่ายล่ะ”
มู่เฉินเริ่มขยับถอย ป้ายกองทัพปรากฏขึ้นในมือ เขาเรียกกองทัพสังหารวิญญาณพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออก
มู่เฉินหลอมรวมคลื่นจิตเข้ากับรัศมีจั้นยี่พร้อมกับใช้งานทันที
โฮก!
กองทัพสังหารวิญญาณปลดปล่อยเสียงคำราม อสรพิษสีแดงเข้มขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเหนือหัวพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนตัว
อสรพิษเปล่งเสียงคำรามพุ่งลงมาด้วยความน่าสะพรึงกลัว
แต่มันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ค่ายกล กลับเล็งไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ตู้ม!
พื้นที่โถงทั้งหมดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้การโจมตีของอสรพิษ แม้ว่าพื้นดินจะได้รับการเสริมด้วยคลื่นหลิงซึ่งทำให้แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ปากปล่องก็ยังก่อตัวขึ้นบนพื้นดินจากการโจมตีของกองทัพสังหารวิญญาณ
ฝุ่นผงฟุ้งกระจายขึ้น แต่มู่เฉินไม่ได้มองไปที่ปากปล่อง สายตาจ้องอยู่ที่เสาต้นหนึ่งเนื่องจากการโจมตีของเขาจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นเสาต้นนั้น
ความคิดของมู่เฉินเรียบง่ายมาก ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้โดยตรง เขาก็จะอาศัยคลื่นกระแทกจากภายนอกเพื่อส่งผลกระทบต่อค่ายกล
ทว่าเนื่องจากมีค่ายกลเป็นตัวกั้น คลื่นกระแทกจึงจะอ่อนลงอย่างมาก แต่ถ้าได้ผลก็จะบรรลุเป้าหมายตามที่เขาต้องการ
แม้ว่าคำอธิบายอาจทำให้งานทั้งหมดดูเรียบง่าย แต่อย่างแรกก็ต้องรู้โครงสร้างค่ายกลทั้งหมดถึงจะหลีกเลี่ยงจุดที่มีคลื่นหลิงหนาแน่น การส่งคลื่นกระแทกมั่วซั่วจะไร้ผล
ดังนั้นสายตาของมู่เฉินจึงจับจ้องไปที่ศพที่อยู่ใต้เสา ขณะคำนวณเวลาในการส่งคลื่นกระแทก
แปดอึดใจต่อมา
ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงทันทีเมื่อเห็นศพสั่นสะท้าน แม้ว่าจะแทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ศพก็เคลื่อนไปทางด้านหน้าเล็กน้อย
การเคลื่อนนี้สามารถมองข้ามไปได้เลย แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม
เนื่องจากเขารู้ว่าในที่สุดเขาก็พบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว