หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1204 ตำหนักมู่
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1204 ตำหนักมู่
“ข้ายอมแพ้”
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของหลิ่วเทียนเต้า วงล้อเกล็ดมังกรที่พุ่งเข้าใส่เขาก็หยุดลงห่างจากใบหน้าไปเพียงไม่กี่จั้งก่อนที่จะแตกสลายไป
จุดแสงคลื่นหลิงกระจายออก แต่ร่างกายหลิ่วเทียนเต้าก็กระเด็นออกไปอย่างน่าอนาถ ชุดเกราะพลังหลิงสั่นสะเทือนเช่นกัน
ตัวเขากระเด็นออกไปหลายพันจั้งก่อนที่จะสามารถควบคุมร่างกายได้ เขายืนอยู่ในอากาศด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สุดท้ายก็ทะยานกลับเข้ามาในโถงด้วยอาการหดหู่
ทั้งโถงเงียบสนิทเมื่อประมุขคนอื่นเห็นภาพนี้ดวงตาของพวกเขาวูบไหวด้วยแววตกตะลึงที่ไม่สามารถปกปิดได้ ฉากนี้เกินความคาดหมายไปไกลนัก
พวกเขาไม่เคยประเมินมู่เฉินต่ำ พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถแท้จริงและก็ไม่คิดว่าหลิ่วเทียนเต้าจะเอาชนะได้ พวกเขาแค่ต้องการให้หลิ่วเทียนเต้าแสดงพลังเพื่อลดความโดดเด่นของมู่เฉินลงบ้าง เพื่อให้เขาได้รับความอับอายไม่กล้าที่จะขึ้นเป็นผู้นำ
ทว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะไม่มีความคิดในการปะทะด้วยตนเอง เขาเลือกสร้างค่ายกลและจัดการจนหลิ่วเทียนเต้ายอมแพ้
“มู่เฉิน…ทรงพลังขนาดนี้เชียวรึ?”
พวกเขาพึมพำในใจ แต่ละคนรู้สึกสะอึกในใจ ไม่กี่ปีก่อนมู่เฉินยังเป็นเพียงเบี้ยตัวน้อยของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่พวกเขาไม่คิดจะชายตามอง แต่เพียงไม่กี่ปีมู่เฉินก็เติบโตจนถึงจุดที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้
พวกเขาตกตะลึงอย่างแท้จริงกับการเติบโตของชายหนุ่มคนนี้ยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะไปให้ไกลแค่ไหน ถ้ามีเวลามากขึ้นกว่านี้
มู่เฉินยิ้มเมื่อมองหลิ่วเทียนเต้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผู้อาวุโสหลิ่วอย่าเคืองกันเลยนะ ข้าชนะเนื่องจากใช้กลยุทธ์บางอย่าง ถ้านี่คือศึกมรณะคงไม่มีใครนั่งนิ่งๆ มองค่ายกลสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์หรอก”
เมื่อหลิ่วเทียนเต้าเห็นมู่เฉินไม่มีความเย่อหยิ่งหรือเย้ยหยัน มิหนำซ้ำยังไว้หน้าเขาให้พ้นจากความอับอาย ท่าทางของเขาก็อ่อนโยนลง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกชื่นชมมู่เฉินจากใจ
ชายหนุ่มคนนี้ที่เบื้องหน้าเขาเป็นอัจฉริยะของแท้ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสามัญสำนึก ไม่แปลกที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน
หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าแล้ว ข้าประเมินตนเองสูงไป เจ้ามีความสามารถและพลังที่มีก็โน้มน้าวข้าได้”
เมื่อเห็นว่าหลิ่วเทียนเต้ายอมรับความพ่ายแพ้ คนอื่นๆ ก็แลกเปลี่ยนสายตาพลางถอนหายใจในใจ พวกเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะขัดขวางไม่ให้มู่เฉินขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่
ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจกับการแสดงศักยภาพของมู่เฉินมาก เพราะพลังของพวกเขาคล้ายคลึงกับหลิ่วเทียนเต้า ในเมื่อมู่เฉินสามารถบีบหลิ่วเทียนเต้าให้ยอมแพ้ได้ ผลลัพธ์คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวก็ตาม
โลกนี้พลังคือทุกสิ่ง ในเมื่อมู่เฉินสามารถเอาชนะพวกเขาได้ นี่ก็พิสูจน์คุณสมบัติของเขาแล้ว
มั่นถัวหลัวที่ไม่ได้พูดมาตลอดก็ยิ้มถามว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้มีใครคัดค้านข้อเสนอของข้าอีกไหม?”
ทุกคนนิ่งเงียบพลางส่ายหัว ตอนนี้คัดค้านอีกก็เท่ากับเพิ่มความอับอาย
แปะ
มั่นถัวหลัวปรบมือด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอประกาศให้มู่เฉินเป็นผู้นำสำนักที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทุกคนจงปฏิบัติตามคำสั่งของเขาในอนาคต!”
คนอื่นๆ มองมู่เฉินพยักหน้าด้วยความเคารพ แสดงให้เห็นว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลิ่วเทียนเต้ามองที่มู่เฉินและมั่นถัวหลัวถามว่า “ในเมื่อเราจะสร้างสำนักใหม่ แล้วจะให้ชื่อว่าอะไรดีหรือ?”
ในเมื่อมั่นถัวหลัวต้องการสลายพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ไม่สามารถใช้ชื่อเก่าได้ นั่นจะเป็นการทำให้คนอื่นระลึกถึงอดีตเกินไป
ดังนั้นหากพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง ก็จะต้องก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะก้าวไปข้างหลัง
มู่เฉินมองมั่นถัวหลัวกระซิบว่า “ในเมื่อเราจะใช้ประโยชน์จากฐานรากของวังสวรรค์บรรพกาล งั้นใช้ชื่อนี้ดีไหม”
เหตุผลที่เขามีความคิดเช่นนั้นเพราะต้องการทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของจักรพรรดิฟ้า เพราะเขาได้รับโอกาสที่ดีจากจักรพรรดิฟ้า
ทว่ามั่นถัวหลัวกลับส่ายหน้าเบาๆ “จักรพรรดิฟ้าบอกไว้แล้วว่าวังสวรรค์บรรพกาลกลายเป็นอดีตที่ไม่หวนคืน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ต่อ ให้ชื่อเสียงจางหายไปพร้อมกับมันเถอะ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพยักหน้า มั่นถัวหลัวมีความรู้สึกอย่างมากต่อวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากสำนักใหม่ยังคงชื่อนี้ไว้ก็จะเปิดบาดแผลขึ้นมาเท่านั้น
“งั้น…” มู่เฉินไม่ได้มีความคิดในเรื่องนี้ เขาได้แต่เกาหัวแกรกกราก
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ดวงตากวาดไปรอบๆ ก่อนที่นางจะตบมือฉาดแล้วยิ้ม “ได้ล่ะ! ในเมื่อเจ้าเป็นผู้นำคนใหม่ เราก็จะเรียกว่าตำหนักมู่! ช่างเรียบง่ายและใช้งานได้จริง!”
หน้าผากของมู่เฉินถึงกับเหงื่อซึม ชื่อนี้ช่างเรียบง่ายและไร้ความคิดนัก!
คนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาดูลังเลก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้ม “มันจะดูไม่ค่อยดีรึเปล่า?”
ชื่อนี้ช่างเป็นที่สังเกตมากเกินไป ทันทีที่ก่อตั้งขึ้นพวกเขาจะถูกเหน็บไว้ด้วยชื่อของมู่เฉินห้อยต่อท้าย
พวกเขาที่ภาคภูมิใจและสูงส่งมาตลอดยังไม่สามารถยอมรับได้ในเวลาสั้นๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางนางพญาเย็นชาก็ก่อตัวขึ้น “พวกเจ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ? หากไม่เต็มใจก็ออกไป ในอนาคตอย่าเสียใจที่จากไปก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาของมั่นถัวหลัว จิตใจของพวกเขาก็สั่นไหวก่อนจะกัดฟันส่ายหน้าหวือ “ตกลง งั้นเราจะตั้งชื่อว่าตำหนักมู่!”
สำหรับระดับของพวกเขาจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ได้แต่อยู่ในเขตแดนของตัวเองเท่านั้น เมื่อไรที่ต้องออกไปจากภูมิภาคทางเหนือ พวกเขาก็ต้องระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเท้าขั้วอำนาจทรงอิทธิพลอื่นๆ
พวกเขาต้องการภูมิหลังสนับสนุนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในเส้นทางการเพาะบ่ม แม้ว่าตำหนักมู่จะเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็มีศักยภาพ มิหนำซ้ำมั่นถัวหลัวก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแท้จริง นางสามารถได้รับการพิจารณาจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นนางจะต้องปกปักตำหนักมู่เพื่อให้เติบโตขึ้นไปอีกแน่
นอกจากนี้ยังมีมู่เฉิน… ชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ถึงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในตอนนี้ แต่เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็จะเติบโตเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพแน่นอน
ในเวลานั้นตำหนักมู่จะเติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ซึ่งอาจเทียบเคียงกับความโดดเด่นของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็เป็นได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาคร่าวๆ พวกเขาก็ทิ้งความรู้สึกไม่ดีในใจลง พวกเขาบอกได้ว่ามั่นถัวหลัวกำลังวางแผนที่จะสร้างฐานที่มั่นให้กับมู่เฉิน ดังนั้นนางจะต้องไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นหินรองเท้าอย่างในอดีต
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าร่วมตำหนักมู่อย่างจริงใจและรอดูการเติบโตไปพร้อมกันเถอะ
เมื่อเห็นการยอมรับของคนอื่นมั่นถัวหลัวก็พยักหน้าพึงพอใจ “ในเมื่อตัดสินใจเรียบร้อย สามวันนับจากนี้จะเป็นวันก่อตั้งของตำหนักมู่!”
“พวกเจ้าทุกคนจะได้เป็นผู้อาวุโสของที่นี่ ไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตไปไกลแค่ไหน ในอนาคตตำแหน่งของเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
คำพูดของมั่นถัวหลัวคล้ายยากล่อมประสาท ซึ่งเป็นการรับประกันตำแหน่งของพวกเขาซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าตำหนักมู่จะเติบโตแค่ไหนก็ตาม
หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ยืนขึ้นโค้งคำนับต่อมู่เฉิน ซึ่งเป็นการทักทายของคนตำแหน่งรองลงมา
มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้า เขาประสานมือพร้อมกับท่าทางแสดงออกจริงจัง
เมื่อเรื่องนี้จัดกการเรียบร้อย หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็กล่าวอำลา เนื่องจากพวกเขายังต้องประกาศให้สำนักของตนทราบ แน่นอนว่านี่คงจะทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ แต่พวกเขามั่นใจว่าจะปรามเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นได้
มองดูการจากไปของพวกเขา มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้กว่านะ”
มั่นถัวหลัวยืดเอวพูดอย่างไม่แยแส “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่เจ้าจะก้าวข้ามข้าไป เมื่อถึงเวลานั้นตำหนักมู่จะยืนหยัดอยู่ในมหาพันภพด้วยความสามารถของเจ้า”
มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น “บางทีข้าอาจยุ่งตายก่อนวันนั้นจะมาถึง”
แค่เรื่องในวันนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวพอแล้ว ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อมีการตั้งขั้วอำนาจนี้ขึ้น
“เจ้าพูดราวกับว่าเคยจัดการหอวิหคโลกันตร์ด้วยตัวเอง สุดท้ายหอวิหคโลกันตร์ก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวันไม่ใช่เหรอ” มั่นถัวหลัวกลอกตาเยาะเย้ย
มู่เฉินฉายสีหน้าแปลกพิลึก หอวิหคโลกันตร์ปล่อยให้ถังปิงจัดการทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย ทว่าเขาเข้าใจว่ามั่นถัวหลัวหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่มอบหมายหน้าที่ให้ถูกคนเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น แต่ไม่นานใบหน้าก็กลายเป็นเคร่งเครียดและเร่งด่วน เขาหันไปมองมั่นถัวหลัวสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดด้วยเสียงสั่น
“ตอนนี้บอกข่าวลั่วหลีให้ข้าฟังได้หรือยัง?”