หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1221 เทพธิดาแห่งมหาพันภพ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1221 เทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”
เสียงหวาดกลัวของลั่วเทียนเสินและเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง ทำให้เกิดความปั่นป่วนทั่วบริเวณอย่างมาก หลังจากนั้นทุกคนก็มองไปที่ร่างเงาข้างมู่เฉินด้วยความตกใจหวาดผวา
มิติด้านข้างมู่เฉินยังคงผันผวน โดยมีร่างเงาเล็กๆ ยืนท้าทุกสายตา นั่นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงงันไป
“สาวน้อยตัวเล็กคนนั้น… เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“ไอ้โง่ จอมยุทธ์ในระดับนี้จะเป็นสาวน้อยจริงๆ ได้ยังไง?” ทว่ายังมีคนที่ตั้งสติได้ ไม่ได้สับสนกับรูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัว
“มู่เฉินเป็นใคร? เขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย!” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นั่นเป็นเพราะแม้แต่ในทวีปซีเทียน จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพชรยอดพีระมิด ถ้าต้องการเชิญอีกฝ่ายมาไม่เพียงแต่สายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่มี พวกเขายังต้องจ่ายราคามหาศาลอีกด้วย
แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังจ่ายเงินแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย
นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยหลิงจื่อและลั่วเทียนเสินไม่เคยคาดคิดมาก่อน
โดยเฉพาะเสี่ยหลิงจื่อ ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดเมื่อมองดูร่างเงาเล็กข้างมู่เฉิน ความรู้สึกวิงเวียนตีขึ้น
เขาไม่เคยคิดว่าไพ่ตายที่อุตส่าห์เตรียมไว้ ไม่เป็นผลอะไรกับมู่เฉินเลย
“มู่เฉินเป็นใครกันแน่?!”
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเสี่ยหลิงจื่อ การเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ ก็สามารถทำได้
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงตงถึงบอกว่าไม่สามารถฆ่ามู่เฉินได้
“ผู้เฒ่าตง…” เสี่ยหลิงจื่อตัวสั่นขณะมองหลิงตง เขาจ่ายเงินมากมายเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา ถ้าไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็สูญเสียจนต้องร้องไห้แล้วจริงๆ
ทว่าเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมา หลิงตงก็ไม่แยแสก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัวพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นคนนอกทวีปซีเทียนใช่ไหม? การมายุ่งเกี่ยวสงครามภายในทวีปถือว่าละเมิดกฎของตำหนักซีเทียนนะ”
หลิงตงขยายเสียงโดยเฉพาะตรงคำว่าตำหนักซีเทียน เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวน่าจะรู้ความหมายนี้ ตำหนักซีเทียนเป็นผู้ปกครองทวีปซีเทียน ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัวยังไม่กล้าที่จะแหยม
นั่นเป็นเพราะผู้นำของตำหนักซีเทียนก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!
มั่นถัวหลัวเข้าใจคำเตือนโดยธรรมชาติ ทว่านางก็เบะปากออก “มู่เฉินเป็นเขยขวัญของตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์สู้ในสงครามนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นผู้นำตำหนักมู่ ในฐานะสมาชิกตำหนัก จะให้เรายืนมองพวกเจ้าทำร้ายเขาหรือ?”
ความโกลาหลระเบิดออก แม้แต่หลิงตงก็มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง
คำพูดของมั่นถัวหลัวกำลังบอกว่านางเป็นหนึ่งในสมาชิกของตำหนักมู่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินรึ?
สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกไม่เชื่อ นั่นเพราะในความเข้าใจของพวกเขามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะออกคำสั่งกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา!
มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและควบคุมอีกฝ่าย
ทว่ามั่นถัวหลัวบอกว่านางเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น? นั่นไม่น่าเชื่อเลย!
แต่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม นางไม่มีทางพูดเล่นตลกแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่านางล้อเล่นแน่นอน
เสี่ยหลิงจื่อเขียนคำว่าไม่เชื่อบนใบหน้า แม้แต่รากฐานของตระกูลเสี่ยเสิน ยังไม่สามารถรับสมัครจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่มู่เฉินดันทำได้เรอะ?
“ไอ้เด็กนี่ ทำไมโชคดีขนาดนี้?!” ยามนี้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกอิจฉามาก หากตระกูลเสี่ยเสินมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มใต้บัญชาละก็ พวกเขาคงครอบครองดินแดนซีเทียนเล็กนี้ไปนานแล้ว
เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็แค่ยักไหล่ ที่จริงเขาอยากบอกว่าตำแหน่งนี้มั่นถัวหลัวเป็นคนยัดมือเขา เนื่องจากนางไม่สนใจ
แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวให้หน้าเขา มู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ไม่อาจหยั่งรู้
หลิงตงจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
เขาเข้าใจถึงความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ดี เพราะตัวเขาก็อยู่ในระดับนี้ ในมุมมองของเขาหากมู่เฉินไม่ได้มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ก็เป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะยอมเชื่อฟังคำสั่ง
“วันนี้พวกข้ามาเพื่อช่วยเหลือตระกูลลั่วเสิน หากเจ้าต้องการช่วยตระกูลเสี่ยเสินก็ประลองกันเลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา นางพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะตอบช้าๆ “ราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ้างมา ไม่เพียงพอที่จะสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ โล่งใจอย่างมาก แม้ว่ามู่เฉินจะมีผู้ช่วยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สู้กัน ถึงยังไงหลิงตงก็เป็นผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียน
และในทวีปซีเทียนก็ไม่มีใครที่กล้าข่มผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียนหรอก
มู่เฉินมองไปที่หลิงตงด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะพักเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย…
“ฮ่าๆ แต่ชายชราคนนี้มีภารกิจอื่น การเชิญจากท่านเสี่ยหลิงจื่อก็แค่เรื่องติดมือเท่านั้น” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลิงตง
พอได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็กระตุก ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่อีกฝ่ายมาเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายใช้ได้จึงรับงานนี้มาด้วย
มู่เฉินหรี่ตาลงมองหลิงตงพูดช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
ทว่าหลิงตงไม่ได้ตอบ เพียงแต่หรี่ตามองลั่วหลีที่กำลังประสบภัยพิบัติหลิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นข้าต้องรอคำตอบของนาง”
แววตามู่เฉินดิ่งลง รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ขณะที่กำลังจะพูดเขาก็เห็นมั่นถัวหลัวส่ายหน้า ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบก่อนที่จะหันหลังกลับมองไปที่ลั่วหลี
ตู้ม ตู้ม!
ตอนนี้ลั่วหลีก็ยังคงนั่งอยู่บนแท่นอย่างเงียบๆ ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่รายล้อมรอบตัวนางไปไกลเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
เมฆรวมตัวกันบนขอบฟ้าพร้อมด้วยสายฟ้าพุ่งเข้าหาลั่วหลี
อย่างไรก็ตามสายฟ้าเหล่านี้ถูกปิดกั้นจากม่านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำลั่วเมื่อเข้าใกล้ระยะร้อยจั้ง
แม่น้ำลั่วปกป้องลั่วหลีไว้
ภายใต้การคุ้มครองนั้นภัยพิบัติหลิงที่โหดร้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทันทีที่ภัยพิบัติหายไป คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างลั่วหลี ดันระลอกคลื่นหมื่นจั้งในแม่น้ำลั่วขึ้น
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนมองมาที่ลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าในเวลานี้ลั่วหลีผ่านภัยพิบัติก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่แท้จริงแล้ว!
ดวงตาที่ปิดสนิทของลั่วหลีเปิดขึ้นพร้อมกับดวงดาวรวมตัวกันในดวงตาของนาง ในเวลาเดียวกันนางก็วาดตราประทับขึ้น แม่น้ำลั่วไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลัง
เมื่อแม่น้ำรวมตัว ทุกคนก็เห็นร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง
ร่างอรชรเปล่งแสงราวกับหยก รูปลักษณ์ที่ปรากฏค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างลั่วหลี โดยมีอักขระแม่น้ำสีเงินประทับบนหน้าผากมน ช่างเป็นแม่น้ำที่ลึกล้ำซับซ้อนยิ่งนัก
เมื่ออักขระถูกสร้างขึ้น ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงามอันน่าทึ่งที่เปล่งออกมาจากร่างเงานั้น
อักขระยังปรากฏบนหน้าผากของลั่วหลี นางเปลี่ยนแปลงโดยมีความงามที่ทำให้ผู้คนมึนเมา
ความงามนั้นราวกับว่านางคือเทพธิดาลงมาจากสวรรค์
“นี่คือเทพธิดาลั่วแห่งมหาพันภพ!” ทุกคนได้แต่มึนเมากับความงามล้ำนี้
เปรียบเทียบกับพวกเขา ลั่วเทียนเสินและผู้อาวุโสของตระกูลลั่วเสินที่มองดูร่างเงานี้ก็อุทานด้วยความไม่เชื่อว่า “นะ…นั่นคือร่างเทพวารี!”
เล่าลือกันว่าร่างเทพวารีเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพ เมื่อฝึกฝนสำเร็จก็จะเชื่อมโยงกับเจ้าของ บรรพบุรุษของพวกเขา—ลั่วเสินในตอนนั้นได้ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพก็เพราะเหตุนี้
ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะเป็นคนที่สองที่ฝึกฝนร่างเทพวารีสำเร็จ!
“ว่ากันว่าเงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ผู้ฝึกไม่เพียงแต่ต้องมีความงามที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม…ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในตระกูลลั่วเสินคงมีแต่ลั่วหลีที่ตรงตามเงื่อนไขนี้” ลั่วเทียนเสินค่อยๆ คืนสติก่อนที่จะรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินแล้ว ในอนาคตตระกูลลั่วเสินอาจได้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ร่างเบื้องหลังลั่วหลีค่อยๆ จางหายไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นยิ้มไปให้มู่เฉิน
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งมาที่มู่เฉินทันที ถ้าไม่ได้เป็นพลังที่เขาแสดงให้เห็น อาจมีใครบางคนในที่นี่ขอท้าประลองกับเขาแล้ว
สัมผัสกับความเป็นศัตรูจากสายตาเหล่านี้ มุมปากของมู่เฉินก็กระตุก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าความงามล่มเมืองเป็นหายนะ
หลิงตงกวาดมองมู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ยิ้มบาง “สมกับเป็นทายาทตระกูลลั่วเสิน ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพได้เจ้าของอีกครั้งแล้ว”
ลั่วหลีหันมาหาหลิงตง คำนับด้วยท่าทางนุ่มนวลกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามาที่ตระกูลลั่วเสินของข้าเพื่อเรื่องใด”
หลิงตงยิ้มก่อนที่จะหยิบของออกจากแขนเสื้อ นี่เป็นม้วนผ้าสีทองที่บรรจุด้วยรัศมีเลิศล้ำ ทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลง
หลิงตงเปิดม้วนผ้าเสียงแหบแห้งก็ดังก้อง
“ราชโองการจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ ขออวยยศดำรงตำแหน่งธิดาเทพแห่งตำหนักซีเทียนให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน”
ทันใดนั้นใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปรุนแรงจากคำพูดของหลิงตง