หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1233 สังหารและช่วยเหลือ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1233 สังหารและช่วยเหลือ
เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดินประหนึ่งฟ้าคำรน
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา
ขณะที่คลื่นหลิงกำลังผันผวน มือใหญ่ที่แห้งกรังก็โอบเข้าหามู่เฉินราวกับภูเขามหึมา
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้มู่เฉินหวาดกลัว เขารีบเรียกเจดีย์ผลึกใสกลับมาและหนีไปโดยไม่ลังเล
ร่างดวงจิตมู่เฉินรีบเผ่นเข้าไปในเจดีย์และกระตุ้นมัน ทันใดนั้นแสงวววาวราวกับอัญมณีก็แผ่ขยายออกไปพร้อมกับรัศมีเทพที่ก่อตัวกลายเป็นกระแสน้ำวน
เมื่อกระแสน้ำวนก่อตัวขึ้น มู่เฉินก็คือกระตุ้นสิ่งนี้เพื่อหนีไป
“เจ้าหัวขโมย คิดหนีเรอะ?!”
ทว่าทันใดนั้นเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง อึดใจก็สามารถมองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันคือสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่เชื่อมโยงกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลจองจำขนาดใหญ่
เมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น มู่เฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์เข้าตาจนแล้ว
“จองจำ!”
เสียงเย็นดังก้อง มู่เฉินก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ากระแสน้ำวนข้างหลังหยุดนิ่ง นอกจากนี้ร่างดวงจิตซึ่งอยู่ในเจดีย์ผลึกใสก็ถูกตรึงไว้ด้วย
ความรู้สึกราวกับว่าเวลาและมิติแห่งนี้ถูกคุมขัง เขาเหมือนยุงในอำพันที่ไม่สามารถกระตุกกระดิกได้
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงกัดฟันตั้งใจจะทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิตของตนเอง
แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ เขาจะต้องสูญเสียใหญ่หลวง ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบากในการสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ มู่เฉินรู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต หากเขาพลาดไปก็จะไม่สามารถสร้างเจดีย์ผลึกใสนี้ได้อีกในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าเขาไม่ทำลายร่างดวงจิตของตนเอง จอมยุทธ์เผ่าฝูถูอาจใช้สิ่งนี้ในการตรวจหาร่างจริงเขา เมื่อตัวตนเขาถูกเปิดเผยก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำลายเจดีย์ผลึกใสไปพร้อมกับร่างดวงจิต
“ระเบิด!”
“หืม?”
มู่เฉินกัดฟันแน่นทำใจที่จะทำลาย ทว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งเริ่มปรากฏขึ้นในพื้นที่นี้ สายผนึกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลทรงพลัง แต่พวกมันไม่ได้ถูกควบคุม เนื่องจากได้แยกการเชื่อมโยงออกจากกัน
เหตุนี้ทำให้การคุมขังในบริเวณนี้หายไป ร่างดวงจิตมู่เฉินสามารถควบคุมเจดีย์ผลึกใสได้อีกครั้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลัน มากจนมู่เฉินยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ แต่โชคดีที่เขาตอบสนองว่องไว เขาส่งเจดีย์ผลึกใสไปที่กระแสน้ำวนทันที
“ทำไมค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษถึงมีช่องโหว่?!”
คนที่เคลื่อนไหวร้องอุทานเมื่อเห็นว่ามู่เฉินกำลังจะหนีเข้าไปในกระแสน้ำวน เขาคำรามลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ตู้ม!
ทันใดนั้นมือแห้งกรังก็ตบลง ชั้นฟ้าและชั้นดินดูเหมือนจะพังทลายลงมา พลังอันน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวถูกฉีกขาดมิติบดขยี้มู่เฉินไว้จากด้านบน
สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่คิดจะจับเป็นแล้ว หัวขโมยแบบนี้ ต่อให้ต้องฆ่าก็ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้!
คลื่นพลังงานน่าสะพรึงบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ทำให้มู่เฉินรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด ถ้ามีเวลาอีกสามลมหายใจเขาก็จะสามารถหลบหนีไปได้!
แต่การโจมตีครั้งนี้โหดเหี้ยมไม่ให้โอกาสเขาสักเสี้ยววินาที
ถึงเป็นสามลมหายใจสั้นๆ แต่ขณะนี้หมายถึงความเป็นตายเลยทีเดียว
มู่เฉินได้แต่มองพลังทำลายล้างกวาดเข้ามา ทว่าทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ฮึ่ม ฮึ่ม
สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏรอบตัวมู่เฉิน พวกมันกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ถักทอเป็นม่านบางเหนือร่างมู่เฉิน
ปัง!
แม้ว่าม่านจะแตกสลายในทันที แต่ก็ซื้อเวลาได้ถึงสามอึดใจพอดี
มู่เฉินควบคุมเจดีย์ผลึกใสทะยานเข้าไปในกระแสน้ำวน จังหวะนั้นเขาก็มีเวลาที่จะหันกลับไปมองดูเส้นสายผนึกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดที่มาจากพวกมัน
ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ หัวใจของเขาเต้นเป็นกลองรัว
“ท่านแม่…เป็นท่านใช่ไหม?”
ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำ มารดาของเขาช่วยแก้ไขสถานการณ์เป็นตายให้เขาเป็นครั้งที่สองแล้ว
ในเผ่าฝูถูมีเพียงมารดาของเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือเขาได้
“ท่านแม่รอข้านะ ข้าจะมาช่วยท่าน แล้วเราจะกลับไปหาท่านพ่อด้วยกันแน่นอน!”
กระแสน้ำวนมืดมิดลงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มู่เฉินพึมพำในใจ
เมื่อร่างดวงจิตและเจดีย์ผลึกใสของมู่เฉินเข้าสู่กระแสน้ำวน พลังงานทำลายล้างก็หายไปทันที ไม่กี่อึดใจผู้อาวุโสที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีประสบการณ์สูงก็ปรากฏตรงจุดที่กระแสน้ำวนหายไป
เขายื่นมือออกสัมผัสมิติบริเวณนี้ พยายามที่จะมองหาทิศทางตามรัศมีที่หลงเหลือไว้
ทว่าเขาก็ต้องหดมือกลับ ใบหน้าของเขามืดครึ้มเพราะเขาพบว่าร่องรอยมิติที่นี่ถูกลบไปหมดแล้ว
ทำได้อย่างหมดจดจนเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยแม้แต่น้อย
ชายชราเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่ใบหน้ามืดครึ้ม
ร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่ในเจดีย์
ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง รอยยิ้มคลุมเครือผุดตรงมุมปากขณะมองไปในระยะไกล
ทว่าก็กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะหายไป
ฮึ่ม ฮึ่ม
มิติมืดมิดบิดเบือนยามนี้มีใบหน้าแก่หงำปรากฏขึ้นพร้อมกับความโกรธมองร่างเงาในเจดีย์
“ชิงเหยี่ยนจิ้ง เมื่อกี้เจ้าทำอะไรลงไป?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปที่ใบหน้าสูงวัยก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสกำลังพูดอะไร”
ใบหน้าอาวุโสอัดแน่นด้วยความกรุ่นโกรธขณะที่คำราม “มีคนแอบเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อขโมยรัศมีตกทอด ที่สำคัญในช่วงเวลาสุดท้ายยังเกิดปัญหาขึ้นกับค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ ช่วยเจ้าหัวขโมยหลบหนีไป!”
“แล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มบาง
“หึ! เกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงเรอะ? เจ้าเป็นหนึ่งในคนสร้างค่ายกลพิทักษ์บรรพบุรุษ! จะยากแค่ไหนถ้าเจ้าต้องการทิ้งบางอย่างเอาไว้? เจ้าคิดว่าข้าเป็นตาแก่ขี้หลงขี้ลืมรึ? เจ้าโจรที่มาขโมยรัศมีตกทอดจะต้องเป็นเชื้อสายต่ำตมที่เจ้าทิ้งไว้ข้างนอกแน่?!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะคอกอย่างเย็นชา
“งั้นเหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้ยอมรับคำพูดของเขา
ผู้อาวุโสใหญ่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินไอ้เด็กเหลือขอน้อยไป เพียงไม่กี่ปีก็เติบโตได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีรายงานมาว่าเขาสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้ ท่าทางคงได้รับการถ่ายทอดสายเลือดไปจากเจ้า ในเมื่อเป็นกรณีนี้เราคงต้องส่งผู้อาวุโสออกไปจับเขามา!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งที่สงบนิ่งเสมอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วจ้องมองผู้อาวุโสใหญ่ก่อนที่จะพูดช้าๆ ว่า “ถ้าท่านกล้าส่งหน้าไหนออกไป อย่าโทษข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”
ผู้อาวุโสในเผ่าฝูถูมีสถานะสูงส่ง แต่ละคนมีขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น เมื่อไรที่พวกเขาเคลื่อนไหวจะเป็นเรื่องน่าสะพรึงสำหรับมู่เฉินแน่
“เจ้าจะทำอะไรได้?” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เห็นชัดว่าเขาไม่พอใจกับความขัดขืนของชิงเหยี่ยนจิ้ง
ชิงเหยี่ยนจิ้งปรายตามองไปก่อนที่จะค่อยๆ ปิดตา
ทันทีที่ดวงตาปิดสนิท เจดีย์ก็สั่นสะท้าน จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ตกใจเมื่อเห็นผนึกที่ปราบปรามชิงเหยี่ยนจิ้งเริ่มพังทลายลง
ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสใหญ่ยังสัมผัสได้ถึงความโกลาหลใหญ่เผ่าฝูถู ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากค่ายกลผู้พิทักษ์ที่ควบคุมโดยสภาผู้อาวุโสเริ่มถูกกระตุ้น
“เจ้า!”
ผู้อาวุโสใหญ่มองอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งพูดต่อ “ความสำเร็จของเจ้าในด้านค่ายกลไปไกลขนาดนี้เชียวรึ? เจ้าสามารถควบคุมค่ายกลผู้พิทักษ์จากระยะไกลได้?!”
ชิงเหยี่ยนจิ้งลุกขึ้น ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนจะเปล่งประกายราวกับดวงดาวรอบตัวนาง จากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เหตุผลที่ข้ายอมรับการลงโทษในตอนนั้นไม่ใช่เพราะกลัวพวกท่าน ข้าแค่ไม่ต้องการให้ลูกมาติดร่างแหด้วย แต่ถ้าท่านกำลังจะข่มขู่ข้าด้วยลูกชายของข้า พวกท่านจะต้องคิดให้ถ้วนถี่กับราคาที่ต้องจ่ายออกมา”
ยามนี้ชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อน นางแสดงให้เห็นถึงด้านดุร้ายราวกับเสือแม่ลูกอ่อนที่ปกป้องลูกน้อย หากใครแตะต้องดวงใจของนาง พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับความดุร้ายและบ้าคลั่งด้วย
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางก็คือลูกรัก…มู่เฉิน
ใบหน้าของผู้อาสุโสใหญ่เปลี่ยนไปเมื่อเผชิญกับชิงเหยี่ยนจิ้งที่อยู่ในสภาพอันตราย เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของนาง ถ้าเขาส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไปจริงๆ ละก็ชิงเหยี่ยนจิ้งคงจะก่อกบฏทันที แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปราบปรามนางได้ด้วยรากฐานของเผ่าฝูถู พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสูงแน่นอน
ซึ่งราคานั้นอาจเป็นความตายของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
สำหรับเผ่าฝูถูนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกขั้วอำนาจในมหาพันภพ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าจะไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่ลูกของเจ้าจะต้องถูกจับกลับมา”
เสียงของเขาเคร่งขรึมไร้ข้อกังขา เขายอมถอยหนึ่งก้าวไม่ส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกไป แต่เขาสามารถส่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนออกไป
ชิงเหยี่ยนจิ้งสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดนั่น เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าโบราณที่จะถอย ตัวนางก็ไม่อยากตัดความสัมพันธ์กับเผ่าอย่างเด็ดขาด ถึงยังไงนางก็มีสายเลือดของเผ่าโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน
สำหรับจอมยุทธ์ที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเทียนจื้อจุน แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่นางก็ยอมรับพอได้ นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนแล้ว ดังนั้นเขาปกป้องตัวเองได้อย่างแน่นอน
นางเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในความว่างเปล่า สายตาราวกับทะลุผ่านห้วงมิติห่างไกลไปยังร่างเงาที่นางรักอย่างสุดหัวใจ นางเผยรอยยิ้มน่ายินดี ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจอย่างนุ่มนวล
“ลูกรัก แม่ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาพลังของตนเองแล้วนะ”