หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1253 หลิ่วซิงเฉิน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1253 หลิ่วซิงเฉิน
หลังจากเห็นหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไปแล้ว
มู่เฉินก็ลังเลเล็กน้อย เขารู้ว่าจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงระหว่างสองคนนั่น แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่ตามไปเพื่อหาผลประโยชน์ ทั้งสองคนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาอาจไปดึงดูดความเป็นศัตรูแทน หากคิดติดตามไป
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่คิดมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของทั้งสองและจากไปในทิศทางอื่น เขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในนั้นจะถูกส่งออกไปจากสนามรบ แต่ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใครก็จะเพิ่มความเร็วในการกำจัดของการแข่งขันนี้ ฉากจบสุดเข้มข้นของศึกนักรบทวีปกำลังจะอุบัติขึ้น
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ในใจ มู่เฉินที่กำลังทะยานอยู่บนอากาศก็หยุดชะงักมองไปในระยะไกล เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนคลื่นหลิงป่าเถื่อนพวยพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ความผันผวนทรงพลังมากจนมู่เฉินก็รู้สึกถึงได้แม้อยู่ตรงนี้ เมื่อมองจากที่ไกลกระทั่งมิติก็ยังแสดงให้สัญญาณการบิดเบือน
มู่เฉินรู้ว่าทุกคนในสนามรบนี้คงสัมผัสถึงความผันผวนที่น่ากลัวเช่นกัน
“หลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม เมื่อมองจากความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทั้งสองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้า
หากเขาปะทะกับสองคนนี่ ก็ยากที่จะได้รับผลประโยชน์ใดๆ ถึงแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจก็ตาม
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะรับรู้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว เขาตั้งใจจะรอให้การต่อสู้จบลง เพราะเขาอยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ภายใต้การรอของเขาความผันผวนพลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น บริเวณนั้นดูเหมือนจะวินาศสันตะโร มืดมิดไม่มีแสงสว่างใด
สถานการณ์นี้ดำเนินไปสองชั่วโมงเต็มก่อนที่มู่เฉินจะรู้สึกถึงคลื่นหลิงที่รุนแรงลดลงอย่างรวดเร็ว
“สู้กันเสร็จแล้วรึ?”
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่ป้ายสัประยุทธ์ของตนเองจะปรากฏขึ้นในมือพร้อมหน้าจออันดับเผยต่อหน้า หากเกิดผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้หนึ่งในพวกเขาจะมีป้ายสัประยุทธ์เพิ่มขึ้น
“หืม?”
แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับจำนวนป้ายสัประยุทธ์บนตาราง
“หรือว่าพวกเขาเสมอกัน?” มู่เฉินพูดพึมพำในความสับสน ดูเหมือนว่าหลิงจั้นจื่อและหลิ่วซิงเฉินจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ พวกเขาเลยไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์
“ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจ เขารู้สึกประหลาดใจกับความจริงที่ว่าหลิ่วซิงเฉินสามารถถอยไปได้อย่างปลอดภัยเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ ถึงยังไงหลิงจั้นจื่อก็เป็นจอมยุทธ์ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากจักรพรรดิสัประยุทธ์
ด้วยคำแนะนำของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนบวกกับทรัพยากรมากมายของตำหนักซีเทียน การฝึกฝนของหลิงจั้นจื่อเป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังต้องถอนหายใจ เนื่องจากตัวเขาพึ่งพาแต่ตัวเองเสมอมา
มู่เฉินไม่คิดอ้อยอิ่งอีกต่อไปมุ่งหน้าต่อไปในระยะไกล ด้วยจำนวนคนที่น้อยลงเขาต้องลองเสี่ยงโชค ดูว่าจะสามารถหาคนที่ซ่อนตัวเพื่อแย่งป้ายสัประยุทธ์มาได้หรือไม่
ทว่าเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรมากมายหลังจากเหาะไปทั่ว คนพวกนั้นเกิดฉลาดหนีไปทันทีเมื่อปะทะกับคนที่มีป้ายจำนวนมาก
นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ว่ามีผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มแลกเปลี่ยนวัตถุจากคลังสัประยุทธ์และออกจากสนามรบไป
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นเลือกแลกเปลี่ยนสมบัติและจากไปอย่างเด็ดขาด เพราะพวกเขารู้ว่าไม่มีโอกาสในการแข่งขันครั้งนี้
แต่นี่ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับมู่เฉินที่จะออกล่าป้ายสัประยุทธ์ ท้ายที่สุดเขาต้องเลิกความคิดนี้ไป เพราะเขารู้ว่าเมื่อมาถึงจุดนี้การต่อสู้จะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
หากเขาต้องการชนะ เขาจะต้องพุ่งความสนใจไปยังคนที่ติดอันดับ
มู่เฉินหยุดลงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นสายตาก็โชนแสง เนื่องจากเขาตัดสินใจปรับสภาพก่อนที่จะทำการต่อสู้กับผู้แข่งขันอันดับต้นๆ
“มาพักกันสักหน่อย”
มู่เฉินพลิ้วตัวลงบนภูเขา แต่เมื่อเขาเข้าไปในเทือกเขา สายตาก็ต้องหดลง เขามองเข้าไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่คลุมเครือ
ซึ่งเป็นคลื่นหลิงที่ค่อนข้างคุ้นเคย
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนที่ร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสง หลังจากนั้นสิบกว่าลมหายใจเขาก็มาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกพลางกวาดมองไปรอบๆ เขาเห็นชายสวมเสื้อคลุมดำที่มีผมขาวนั่งอยู่เงียบๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ นี่ก็คือเจ้าตำหนักแสงดาว—หลิ่วซิงเฉิน!
ใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดปกคลุมไปด้วยเลือดที่มาจากอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่บนร่างกายของเขา ซึ่งทำให้เขาหมดสภาพอ่อนโยนในอดีต
เมื่อมู่เฉินเห็นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย หัวใจก็สั่นสะท้าน บาดแผลของหลิ่วซิงเฉินถูกทิ้งไว้โดยหลิงจั้นจื่อจากการต่อสู้ก่อนหน้า
หลิ่วซิงเฉินรับรู้ถึงการมาถึงของมู่เฉิน เขาเปิดเปลือกตายิ้มขมขื่นฉายบนใบหน้า
เมื่อมองไปที่หลิ่วซิงเฉินที่บาดเจ็บสาหัส รอยยิ้มของมู่เฉินก็พิลึกไปก่อนที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะดวงดีแล้ว มีเนื้อย่างตกลงมาจากท้องฟ้า”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มตามคำพูดของมู่เฉินพลางถอนหายใจ “สมกับเป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ดูท่าข้าจะประเมินตัวเองสูงไปและประเมินเขาต่ำเกินไป”
“ดูเหมือนว่าการปะทะเมื่อครู่เจ้าจะแพ้ แต่สุดท้ายก็หนีมาได้” มู่เฉินเข้าใจแล้วหลิ่วซิงเฉินและหลิงจั้นจื่อไม่ได้เสมอกัน แต่เป็นหลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและหนีมา ไม่น่าแปลกใจที่หลิงจั้นจื่อจะไม่ได้รับป้ายสัประยุทธ์ของอีกฝ่าย
หลิ่วซิงเฉินถอนหายใจด้วยรอยยิ้มขมขื่นและพยักหน้า “หลิงจั้นจื่อโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าข้าล้มเหลวในข้อตกลงของพี่ซูและพี่ฉู่”
“พันธมิตร?”
หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ที่หลิ่วซิงเฉินกำลังพูดน่าจะหมายถึงซูมู่และฉู่เหมิน ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างพันธมิตรกันขึ้นมาด้วย
“ไม่นับว่าเป็นพันธมิตรหรอก แต่เป็นเหมือนข้อตกลง พวกข้าสามคนไม่ชอบเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียน ดังนั้นจึงต้องการที่จะเห็นว่าใครเก่งกว่ากันในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือหลิงจั้นจื่อ คงต้องทำให้พวกเขาผิดหวังแล้ว” หลิ่วซิงเฉินกล่าว
มู่เฉินเข้าใจทันที ที่แท้หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินกลัวเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างพันธมิตรลับขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าเทพจอมยุทธ์ทั้งสามรวมตัวกันละก็ คนอื่นๆ ก็จะหมดสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งนักรบทวีปเลย
“แล้วทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้า? เจ้าอยากให้ข้าถอยไปเรอะ?” มู่เฉินยิ้มมองหลิ่วซิงเฉิน ด้วยอาการบาดเจ็บความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนที่จะคว้าป้ายสัประยุทธ์มาได้
ได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วซิงเฉินก็หัวเราะ “ตรงกันข้ามข้าตั้งใจจะให้ป้ายสัประยุทธ์ด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าเอาไปละสิ”
“ทำไม?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้ม “ข้าอ่อนล้าลงมาก กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่อยู่ตอนนี้ก็เพื่อไม่ให้หลิงจั้นจื่อได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าไป หากเจ้ามีความกล้าข้าก็ยินดีที่จะให้ป้ายทั้งหมดนี้แก่เจ้า”
“แต่หลิงจั้นจื่อเห็นข้าเหมือนเหยื่อ แล้วใครจะกล้าขโมยเหยื่อของเขาล่ะ? หากป้ายสัประยุทธ์ของข้าตกอยู่ในมือเจ้า อันดับของเจ้าจะก้าวกระโดดแซงเขาพุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นเขามาตามล่าเจ้าแน่นอน”
“ต้องเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแบบนั้น เจ้าคิดจะรับป้ายสัประยุทธ์ของข้าหรือไม่ล่ะ?”
หลิ่วซิงเฉินยิ้มให้มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉิน
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจกับการแสดงออกของมู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีระลอกคลื่นใด ซ้ำยังยิ้มหลังจากที่เขาพูดจบ “ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าตั้งใจจะคว้าตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะไม่มีป้ายสัประยุทธ์ของเจ้า ข้าก็จะจัดการหลิงจั้นจื่ออยู่ดี”
หลิ่วซิงเฉินอึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทีละน้อย เขาไม่เห็นความกลัวใดๆ ในสายตานั่น นอกจากนี้ความมั่นใจของมู่เฉินก็ไม่ใช่แสร้งทำ
นั่นหมายความว่ามู่เฉินตั้งใจจะสู้กับหลิงจั้นจื่อจริงๆ
หลิ่วซิงเฉินเคยได้ยินเรื่องของมู่เฉินมาบ้าง การประสบความสำเร็จเช่นนั้นแสดงว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดดีและโง่เขลา ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขายังกล้าพูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อ
“ตอนแรกข้าคิดว่ามีเพียงตนเองที่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไป” พักใหญ่หลิ่วซิงเฉินก็ถอนสายตา
มู่เฉินยิ้ม “งั้นเจ้าตัดสินใจว่ายังไง?”
หลิ่วซิงเฉินหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์บินไปหามู่เฉิน “เอาเถอะ ถึงหลิงจั้นจื่อจะเอาชนะข้าได้ แต่ในเมื่อสร้างปัญหาให้มันได้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่”
“มู่เฉินถ้าเจ้ามีความกล้าก็จงรับป้ายเหล่านี้ซะ ข้าจะรอดูการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับหลิงจั้นจื่อที่ข้างนอก หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
มองไปที่ป้ายสัประยุทธ์มู่เฉินก็กวาดมือเก็บทั้งหมดไว้ ก่อนจะประสานมือ “งั้นก็ขอให้พี่หลิ่วรอดูเลย”
หลิ่วซิงเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างจะค่อยๆ จางหายไปจากมิติสนามรบ
เมื่อหลิ่วซิงเฉินออกไปแล้ว ป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉินก็กะพริบ เขาทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของการจัดอันดับทันที
อันดับหนึ่ง มู่เฉินรวมสี่สิบสามป้าย!
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกสิ่งนี้ก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญ