หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1260 สัตว์ประหลาด
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1260 สัตว์ประหลาด
ตู้ม!
ดัชนีทั้งสองพุ่งทะลุขอบฟ้าปะทะกันจังใหญ่ ช่วงเวลาที่ชนกันทั่วบริเวณก็เหมือนแช่แข็งไปชั่วขณะ…
คลื่นหลิงในฟ้าดินกระเจิดกระเจิงไปในทุกทิศทาง ราวกับกลัวจะถูกทำลายจากพลังการทำลายล้าง
ตู้ม ตู้ม!
ฟ้าดินค้างสนิท ก่อนที่แสงสว่างแสบตาจะปกคลุมลงมา ส่องไปทั่วทุกมุม
แสงนั้นแสบตามาก กระทั่งผู้ชมที่อยู่ในจัตุรัสนอกสนามรบยังรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตาลง
ครืนๆ!
หลังจากแสงส่องไปทั่ว พายุคลื่นหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็กวาดออกจากจุดปะทะอย่างป่าเถื่อน ฉีกพื้นดินในเส้นทางที่ผ่าน
ป่าใหญ่ราพณาสูร ทุกสรรพชีวิตถูกลบล้างภายใต้คลื่นกระแทก…
ทุกคนตะลึงกับพลังแห่งการทำลายล้าง รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายติดอยู่ในคลื่นกระแทกเหล่านี้ พวกเขาก็น่าจะทิ้งชีวิตไว้ภายใน
“นี่…พวกเขาสองคนไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้น ทำไมถึงได้น่าสะพรึงขนาดนี้?!” มีจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าขมขื่น การเผชิญหน้าในระดับนี้เกินจินตนาการ ทำให้พวกเขารู้สึกใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว
“สัตว์ประหลาด…” ผู้คนถอนหายใจ “แค่ไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้”
“น่าจะเป็นหลิงจั้นจื่อมั้ง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์น่ากลัวเกินไป มิหนำซ้ำเขายังได้รับการสนับสนุนจากรัศมีจั้นยี่ของกองทัพนับล้าน! แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่เขาก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงไม่สามารถต้านรับหลิงจั้นจื่อได้”
“ใครจะรู้… มู่เฉินน่ะเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าหลิงจั้นจื่อซะอีก หากมู่เฉินอยู่ในขุมพลังเดียวกัน แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็สู้เขาไม่ได้”
ประโยคนี้ทำให้หลายคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาน่าสะพรึงเกินไป ตัวเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็สามารถบังคับให้หลิงจั้นจื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะน่าพรั่นพึงแค่ไหน?
ในเวลานั้นหรือว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ด้วย?
ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมดพลางส่ายหัวกับความคิดนี้ แม้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มดูเหมือนจะเป็นเหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแค่คำเดียว แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองขั้นรุนแรงมาก
ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นที่รู้จักในฐานะประตูเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับระดับตำนาน ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา
นี่คือสิ่งที่สามารถเห็นได้จากจำนวนคนในสนามรบทั้งสาม ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมีผู้แข่งขันหลายร้อยคน ขั้นปลายมีผู้เข้าแข่งขั้นสองร้อยคน และขั้นเต็มมีผู้แข่งขันไม่ถึงสิบคน…
ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มน่าหวาดกลัวเพียงใด ตราบใดที่จอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ได้แหย่หนวดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ไร้เทียมทานในมหาพันภพ
ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธความคิดที่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เมื่อเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…
ขณะที่ความคิดของผู้ชมกำลังวุ่นวายไปหมด จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีก็จ้องมองไปที่หน้าจอ…
“มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ… ร่างเทห์สวรรค์ของเขาสามารถติดสิบห้าอันดับแรก ไม่แปลกใจที่เขาบีบบังคับให้หลิงจั้นจื่อมาถึงจุดนี้ได้” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวอย่างช้าๆ ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าร่างสีม่วงทองนั่นทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ก็เริ่มยอมรับในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน
“ในแง่ของร่างเทห์สวรรค์ ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้อยกว่าอย่างแท้จริง”
เซียวเหยียนยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”
เงียบไปชั่วครู่จักรพรรดิสัประยุทดธ์ก็กล่าวว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้ข้าคิดว่าทั้งสองคนจะไม่มีใครได้เปรียบกัน ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งคู่…”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อถูกมู่เฉินบังคับให้มาไกลขนาดนี้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้น เพราะเขารู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีมองขาดกว่าตนเอง
ทว่าอึดใจเขาก็หรี่ตาลงพูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะทรงพลัง แต่เขาก็เสียเปรียบในด้านขุมพลัง หลังจากการปะทะกันกระบวนท่านี้คลื่นหลิงของเขาก็จะหมดลง กลับกันหลิงจั้นจื่อยังสามารถสู้อีกต่อไปได้ ดังนั้น… แม้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะอย่างยุติธรรม แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังคงยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายได้”
จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาจึงเกินกว่าคนอื่นโดยธรรมชาติ ขณะที่คนอื่นยังไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ เขาก็เห็นขาดไปแล้ว
เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มบางพลางพยักหน้า “ที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดมาไม่ผิด… แต่ข้ากลัวว่าการเอาชนะมู่เฉินไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มลึกลับแขวนอยู่บนริมฝีปากของเซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดพร้อมกับความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในใจ
หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอื่นอีก?!
เป็นไปได้ยังไง!
ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจจดจ้องหน้าจอแบบลุ้นระทุก
ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายพายุคลื่นหลิงก็จางหายสถานการณ์เริ่มกระจ่างชัด
สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นก็คือผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง ในรัศมีพันลี้พื้นโดยรอบมีรอยแตกที่น่ากลัวพล่านไปทั่ว
พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน ทางซ้ายมือเป็นร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีขนาดหมื่นจั้ง ส่วนข้างขวาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์…
ร่างเวทสวรรค์ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง
ครืนๆ!
ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเวทสวรรค์ทั้งสองหัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกลงบนพื้นด้วยเสียงดังก้อง
ทั้งสองร่างมืดมนลงอย่างรวดเร็วจากความอ่อนล้าของคลื่นหลิง
ผู้ชมที่เฝ้ามองก็ต้องตะลึงเพราะนี่หมายความว่าการเผชิญหน้านี้จบลงด้วยทั้งสองได้รับบาดเจ็บ!
เมื่อทั้งสี่คนเห็นมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อจากระยะไกล พวกเขาก็ตกใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมายนัก
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสู้กับหลิงจั้นจื่อได้!
“ไอ้หนูนั่นร้ายกาจมาก!”
หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อพึมพำด้วยความกลัวในดวงตา เพราะตอนนี้มู่เฉินยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็มืดครึ้ม เขายืนบนไหล่ร่างต้นจักรพรรดิสัปประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน สายตาราวกับใบมีด
ไม่เพียงแต่คนอื่นตกใจเท่านั้น ตัวเขาเองก็ตกใจกับผลลัพธ์นี้
“ร่างบ้าบอนั่นคืออะไร?! ทำไมน่าสะพรึงนัก!” หลิงจั้นจื่อกำหมัดแน่น เขาบอกได้ว่าที่มู่เฉินสามารถสู้กับเขาจนได้ผลลัพธ์นี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนั้น
สายตาของหลิงจั้นจื่อมืดมน แต่ไม่นานเขาก็คิดได้พลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะดูสะบักสะบอมแบบนี้ มู่เฉิน ข้าต้องยอมรับว่าแกแน่จริงๆ”
มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย การปะทะกันกระบวนท่าเมื่อครู่ทำให้เขาเหนื่อยล้ามาก
เขายิ้มตอบหลิงจั้นจื่อไป “ขอบคุณสำหรับคำชม”
ดวงตาหลุบลง สายตาของหลิงจั้นจื่อเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะพูดช้าๆ “แต่แกยังมีคลื่นหลิงเพียงพอที่จะควบคุมร่างเทห์สวรรค์ต่อไหม? ถ้าไม่มีร่างนั่นแกยังสามารถสู้กับข้าได้ไหม?”
“แกเองก็หมดแรงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มตอบ
หลิงจั้นจื่อพยักหน้าก่อนที่จะเงยหัวขึ้นมองลูกทรงกลมทั้งสาม แสงโหดเหี้ยมสายหนึ่งวาบขึ้นในดวงตา
“สังเวยการต่อสู้!”
หลิงจั้นจื่อกระทืบเท้า กัดที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดตราประทับโลหิตในอากาศเบื้องหน้าพลางคำรามลั่น
เมื่อเสียงของเขาดังก้อง กองทัพนับล้านในลูกทรงกลมแสงก็กระแทกอก เลือดไหลออกมาจากปาก
เลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจุดชนวนก่อนจะก่อตัวเป็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมเข้ากับร่างกายของหลิงจั้นจื่อ
ตู้ม!
ด้วยแก่นโลหิต คลื่นหลิงที่ลดน้อยลงของหลิงจั้นจื่อก็เพิ่มขึ้นทันที เขากลับไปสู่สภาวะสูงสุดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าของพวกเขาก็หวาดผวา เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อจะโหดเหี้ยมปานนี้ เขาใช้วิธีบ้าเลือดที่สุด ดึงพลังงานจากกองทัพเพื่อกู้คืนสภาพ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้ แต่กลับสร้างความเสียหายหนักให้กับกองทัพ เขาอาจต้องเตรียมกองทัพใหม่ทั้งหมดก็เป็นได้…
ชัดว่าเพื่อตำแหน่งนักรบทวีป หลิงจั้นจื่อไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
ภายใต้สายตาตกตะลึง หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่รอบตัวพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
“มู่เฉิน ครั้งนี้…แกจะสู้กับข้าได้อย่างไรอีก!
“แกยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตำแหน่งนักรบทวีปไปจากข้า!
“ดังนั้น…ไสหัวออกจากสนามรบไปซะ!”