หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1265 สองสตรีสู้กัน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1265 สองสตรีสู้กัน
ลมกระโชกแรงกวนตัวบนเทือกเขา
คนสองกลุ่มพากันเร้าคลื่นหลิงทรงพลัง แม้แต่เมฆก็ถูกฉีกขาดจากแรงกดดันนี้
ทั้งสองกลุ่มยืนอยู่คนละฟากของเทือกเขา ความเป็นปฏิปักษ์อัดแน่นในดวงตา
เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายทางด้านขวา นางสวมเสื้อผ้าสีดำที่เน้นรูปร่างและผิวสีขาวไข่มุก นางมีรูปลักษณ์งดงามชวนตะลึงเมื่อสายตาจ้องมองไปที่ดวงหน้า
นอกจากนี้ยังมีความน่าเกรงขามที่ทำให้นางประหนึ่งจักรพรรดินี
นอกเหนือจากลั่วหลีก็ไม่มีใครโดดเด่นในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นอีกแล้ว
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นกว่าหนึ่งร้อยคนยืนอยู่ข้างหลัง มองมาที่นางด้วยความเคารพ
ตอนที่หลิงเฟยจื่อเริ่มลงมือกวาดล้าง ผู้คนจำนวนมากก็หนีกันกระเจิดกระเจิง แม้ว่าจะมีคนกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผลลัพธ์ก็จบลงที่ถูกเตะโด่งออกจากสนามรบ
ภายใต้สภาวะที่น่ากลัวนี้ ลั่วหลีลุกขึ้นรวบรวมสมัครพรรคพวกอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของค่ายหลิงเฟยจื่อก็ถอยทัพกลับมาได้
หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกนางก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและดึงผู้คนที่มีความไม่พอใจกับหลิงเฟยจื่อ นอกจากนี้ด้วยเสน่ห์โดดเด่นของนาง ยังสามารถดึงจอมยุทธ์ทรงพลังที่เป็นกลางเข้าร่วมด้วย ทำให้ตอนนี้ค่ายของพวกนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายของหลิงเฟยจื่อเลย
ในเวลาเพียงครึ่งเดือนลั่วหลีเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรจนมีค่ายใหญ่ที่ไม่อ่อนแอกว่าหลิงเฟยจื่อ วิธีดังกล่าวทำให้ผู้คนต้องถอนหายใจชื่นชมไม่หยุด
ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงรู้สึกเคารพลั่วหลี ไม่มีใครดูถูกความเป็นสตรีเพศของนาง
มีชายสวมเสื้อสีเขียวอมฟ้าที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นและไม่ธรรมดายืนอยู่ข้างหลังลั่วหลี เขากวาดมองทุกคนที่พลุ่งพล่านด้วยเจตนาการต่อสู้ก็ยิ้ม “จักรพรรดินีลั่วเก่งกล้าสมชื่อนัก ครึ่งเดือนก่อนเรามีกองกำลังเพียงสิบคน ตอนนี้กลับสามารถประกาศสงครามกับหลิงเฟยจื่อได้เลยทีเดียว”
ชายคนนี้ชื่อว่าหลู่เฟิ่งเซียน เขามีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นในทวีปซีเทียน ว่ากันว่าภายในสองสามปีนี้เขาก็จะสามารถโจมตีระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว
เขาเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่เข้าร่วมกับลั่วหลี
“หลิงเฟยจื่อเจ้ายศเจ้าอย่างและพึ่งพาชื่อเสียงของตำหนักซีเทียน ในแง่ของความสามารถข้าไม่คิดว่านางจะเปรียบกับจักรพรรดินีลั่วได้” ข้างหลู่เฟิ่งเซียน ชายร่างกำยำก็พูดออกมา
เขามีชื่อว่าชื่อเถิงขุยที่มีความสามารถรองลงมาจากหลู่เฟิ่งเซียนเท่านั้น
“เมื่อไรที่จักรพรรดินีลั่วออกคำสั่ง ข้าก็จะบุกทะลวงค่ายพวกมัน!” ยืนอยู่ด้านหลังเถิงขุยเป็นชายร่างสมส่วน ริ้วแสงสีทองวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ซึ่งบางครั้งเปล่งเสียงคำรามของพยัคฆ์ออกมาด้วย
ขณะที่พูดเขาก็จ้องมองที่หลู่เฟิ่งเซียนด้วยการยั่วยุในดวงตา แต่เมื่อหันไปมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาก็เผยความชื่นชมในแววตาออกมา
ชื่อของเขาคือหยูหู่หรือที่รู้จักกันในฉายาราชันพยัคฆ์แห่งทวีปซีเทียน เขามีพละกำลังมาก เมื่อไรที่เขาต่อสู้ แม้แต่หลู่เฟิ่งเซียนก็ไม่สามารถจัดการกับเขาได้
ทั้งสามคนมีชื่อเสียงล้นเหลือในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและตอนนี้ทั้งหมดยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของลั่วหลี โดยกำลังรอคำสั่งจากนาง
หลู่เฟิ่งเซียนสัมผัสได้ถึงการยั่วยุในดวงตาของหยูหู่ก็อดแสยะยิ้มไม่ได้ เขาเหลือบมองร่างลั่วหลี แม้แต่คนอย่างเขาที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงเหมือนต้นหญ้าก็ยังไม่สามารถทนต่อการดึงดูดของลั่วหลี ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ยังคิดมอบตำแหน่งธิดาเทพให้กับนาง
ดังคำกล่าววีรบุรุษชอบสาวงาม ผู้คนจำนวนมากอยู่ภายใต้คำสั่งของลั่วหลี มีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์ ทว่าส่วนใหญ่รู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่านางทุกทาง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าแสดงออก
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาลั่วหลีก็หันมาพลางคลี่ยิ้ม “พวกเจ้าสามคนไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ณ จุดนี้เราใช้แม่ทัพต้านแม่ทัพ ใช้กองทัพต้านกองทัพ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”
“เรายินดีรับฟังคำสั่งของเจ้า!”
พวกหลู่เฟิ่งเซียนต่างประสานมือตอบรับ
จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ตอบรับเช่นกันทำให้ดูตระการตามาก
“นังแพศยานั่น!”
เมื่อได้ยินขวัญกำลังใจของค่ายลั่วหลี ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อก็เย็นเยือกลงขณะกัดฟันกรอด
ในฐานะศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ นางประหนึ่งเจ้าหญิงแห่งทวีปซีเทียน ในอดีตไม่รู้ว่ามีใครกี่คนที่ห้อมล้อมตัวนาง แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อลั่วหลีปรากฏตัว ชื่อนี้ก็เริ่มติดอยู่บนริมฝีปากของจอมยุทธ์ชั้นสูงเหล่านั้น
มิหนำซ้ำเมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดิสัประยุทธ์ยังออกราชโองการ ให้ลั่วหลีดำรงตำแหน่งธิดาเทพซึ่งมีตำแหน่งสูงส่งกว่านาง
เรื่องนี้ปลุกความอิจฉาในหัวใจของหลิงเฟยจื่อ ดังนั้นเป้าหมายหนึ่งเดียวของนางในการเข้าสู่สนามรบครั้งนี้ก็คือปราบลั่วหลีและสร้างความอับอายให้
นางต้องการให้ทุกคนในทวีปซีเทียนรู้ว่าลั่วหลีเป็นรองนาง!
“สู่หยู สู่กว่าง สู่เฉิน ข้าจะปล่อยหลู่เฟิ่งเซียน เถิงขุยและหยูหู่ให้พวกเจ้าสามคนจัดการ” หลิงเฟยจื่อสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่ปรายตามองจอมยุทธ์สามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ทั้งสามมาจากสำนักสู่ซึ่งเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดที่ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักซีเทียนและทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ พวกเขามีชื่อเสียงมากกว่าหลู่เฟิ่งเซียนและคนอื่นๆ เสียอีก
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงเฟยจื่อ ทั้งสามคนก็เบะปากแต่ก็พยักหน้าในที่สุด ถึงยังไงหลิงเฟยจื่อก็เป็นศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ดังนั้นนางจึงมีสถานะสูงส่ง
“หึ ข้าขอดูหน่อยว่าคนที่ลั่วหลีดึงมารวมตัวแบบรีบเร่งจะแข่งกับตำหนักซีเทียนยังไง!” หลิงเฟยจื่อเค้นเสียง ในแง่คุณภาพนางแข็งแกร่งกว่าเนื่องจากกลุ่มของนางเป็นการรวมตัวของผู้สนับสนุนจากตำหนักซีเทียน ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงให้ทรัพยากรพวกเขาตามสมควร ทำให้ชื่อเสียงและพลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าฝ่ายลั่วหลีโดยธรรมชาติ
เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ ร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ตามหลังมา ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ ทั้งสองฝ่ายก็มาประจันหน้ากันแล้ว
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้นสายตาเย็นชามองหลิงเฟยจื่อนิ่ง ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองจะยกมือเรียวขึ้น จากนั้นก็สะบัดลงเบาๆ พร้อมกัน
“ลุย!”
เมื่อเสียงของพวกนางดังขึ้น คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างหลายร้อยบินฉวัดเฉวียนออกมาพร้อมกับซัดพลังโจมตีนับไม่ถ้วน
ตู้ม ตู้ม!
การประจัญบานรุนแรงทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
วาบ วาบ!
จอมยุทธ์ทรงพลังบางคนในค่ายทั้งสองบินผ่านคลื่นกระแทก เข้าปะทะกับศัตรูที่หมายตัวไว้แล้วปลดปล่อยกระบวนท่าออกมาทันทีโดยไม่ลังเล
ส่วนพวกหลู่เฟิ่งเซียนก็ถูกจอมยุทธ์ทรงพลังสามคนของฝ่ายตรงข้ามขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายต่างเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาต่อสู้ โดยไม่พูดให้มากความ
ลูกเพลิงระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า ทุกลูกเต็มไปด้วยอันตราย พลังทำลายล้างทำให้เทือกเขาพังทลายลง
เมื่อลูกเพลิงปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลั่วหลีและหลิงเฟยจื่อก็ยืนประจันหน้ากัน
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีวิธีรวบรวมพวกขี้แพ้เอาไว้” หลิงเฟยจื่อพูดเสียงเย็นขณะที่จ้องมองลั่วหลี
“เจ้าเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไป ดังนั้นจึงมีคนที่เกลียดเจ้าเยอะแยะ พูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณที่ทำให้ข้าสามารถรวบรวมคนได้อย่างรวดเร็ว” ลั่วหลียิ้มอ่อน
“ก็แค่กลุ่มบัดซบ” หลิงเฟยจื่อขมวดคิ้ว นางไม่อยากเห็นท่าทางไม่แยแสของลั่วหลีจึงพูดขึ้นทันที “หึ ข้าว่าตอนนี้มู่เฉินคงคุกเข่าร้องขอชีวิตที่เบื้องหน้าพี่ใหญ่หลิงจั้นจื่อแล้ว”
นางรู้ว่าลั่วหลีเป็นกังวลกับมู่เฉินมาก ดังนั้นนางรู้ว่าสามารถกวนอารมณ์อีกฝ่ายโดยเริ่มต้นจากชายคนนั้น
อย่างที่นางคาดไว้ รอยยิ้มของลั่วหลีหุบลงอย่างช้าๆ ขณะจ้องมองหลิงเฟยจื่อด้วยดวงตานิ่งสงบ
ภายใต้สายตาที่ดูสงบนั้น หลิงเฟยจื่อกลับรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือก นางรู้ว่าคำพูดของตนทำให้อีกฝ่ายโกรธมากเลยทีเดียว
“บางครั้งการพูดสิ่งที่ผิดและการทำสิ่งที่ผิดก็มีราคาต้องจ่าย… ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถจ่ายไหวนะ”
เสียงเรียบนิ่งของลั่วหลีดังขึ้นโดยไม่มีความผันผวน แต่เมื่อเสียงดังก้องออกไปคลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่างของนางปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันร่างงดงามก็ปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมกับแรงกดดันที่ไร้รูปแบบปกคลุมมิติทั้งหมดนี้
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลง ก่อนที่เขาจะยิ้มเสียงเบา
“ร่างเทพวารี… ดูเหมือนว่าหลิงเฟยจื่อทำให้ลั่วหลีโกรธซะแล้ว…นางซวยแน่”