หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1289 ทวีปเซิ่งยวน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1289 ทวีปเซิ่งยวน
ทวีปเซิ่งยวนอยู่ทางตะวันตกไกลโพ้นของมหาพันภพ
ในระดับหนึ่งที่นี่ไม่นับว่าเป็นทวีปได้เต็มปาก แต่เป็นพิภพเขตล่างที่พัฒนาขึ้นจนเป็นมิติที่สามารถเชื่อมโยงกับมหาพันภพได้
ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนนี้เป็นหนึ่งในสมรภูมิตัดสินเด็ดขาดระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ละร่างไว้ในทวีปเซิ่งยวนแห่งนี้ แม้แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เกินมือสองข้างนับ มีวิทยายุทธระดับเสินทงนับไม่ถ้วน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ก็สูญหายไปในนั้น ตลอดช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ทว่าก็มีคนที่โชคดีได้รับมรดกบางอย่างและเปลี่ยนจากคนไม่มีใครรู้จักเป็นจอมยุทธ์โด่งดัง…
เนื่องจากกรณีนี้ในอดีต ทำให้มีผู้คนมากมายในมหาพันภพต้องการลองเสี่ยงโชคดู…
ทว่าแม้ทวีปเซิ่งยวนจะมีปาฏิหาริย์ แต่อันตรายในนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน เนื่องจากการสงครามสมัยโบราณทำให้มิติที่นี่ไม่มีเสถียรภาพ เกิดสภาพแวดล้อมโหดร้ายทุกประเภท ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ประมาทก็อาจถูกทำลายได้
นอกจากนี้ที่อันตรายที่สุดคือยังมีพวกเผ่าปีศาจปรากฏในทวีปแห่งนี้…
ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกปีศาจจึงมีเส้นทางเข้าไปในทวีปนี้ตามธรรมชาติ
เป้าหมายของพวกมันก็คล้ายกับจอมยุทธ์มหาพันภพ พวกมันก็มีเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่ทิ้งร่างลงในสมัยโบราณ ดังนั้นพวกมันจึงพยายามที่จะค้นหารับมรดกเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ทวีปเซิ่งยวนเป็นสถานที่เชื่อมโยงระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายปะหน้ากัน พวกเขาจะฟัดกันไม่ยั้งจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตาย…
ในระดับหนึ่งทวีปเซิ่งยวนก็ถือว่าเป็นแนวหน้าของมหาพันภพกับเผ่าปีศาจเลยทีเดียว
เมื่อพวกมู่เฉินมาถึงทวีปเซิ่งยวนเวลาสองเดือนก็ผ่านไปแล้ว
ระยะทางที่ยาวนานนี้แม้แต่มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย
ตลอดทางพวกเขาพึ่งพาการข้ามมิติของชื่อเหยียนในการเดินทาง แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าการผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่มีข้อดีที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นตามหาค่ายกลเคลื่อนย้าย
แน่นอนว่าวิธีการเดินทางนี้มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างชื่อเหยียนที่สามารถทำได้ หากพวกเขาต้องเดินทางด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีก
“ที่นี่เหรอทวีปเซิ่งยวน?”
มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขารกร้างขณะมองไกลออกไป มีแต่เพียงความมืดเข้ามาในครรลองสายตา ราวกับว่าบริเวณนี้ถูกบีบกดไว้
คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเหมือนดิ่งลง ไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับทวีปอื่นๆ ของมหาพันภพ
เมื่อเทียบกับมหาพันภพ เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะซึมซับคลื่นหลิงที่นี่เข้าไป
สายฟ้าสีแดงเข้มแล่นแปลบปลาบในบางครั้ง รอยแตกพล่านไปทั่วพื้นดิน ซึ่งอัดแน่นด้วยความผันผวนรุนแรงที่อาจทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวได้
ทวีปแห่งนี้ดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าว
“เมื่อนานมาแล้วทวีปเซิ่งหลิงเป็นสถานที่ในการฝึกฝน แต่ต่อมาถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและถูกปนเปื้อนโดยรัศมีปีศาจ แม้ว่ามหาพันภพจะพยายามที่จะชำระล้างหลายครั้ง แต่ก็ยังคงยากมากสำหรับที่นี่ที่จะกลับคืนสู่สถานะเดิม” ชื่อเหยียนถอนหายใจอยู่ข้างๆ
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วย จักรวรรดิปีศาจต่างมิติถือได้ว่าเป็นศัตรูของมวลมนุษย์ในมหาพันภพ เนื่องจากวิธีการของพวกมันครอบงำมากเกินไป ภายใต้การปนเปื้อนของไอปีศาจ แม้แต่คลื่นหลิงก็จะสูญเสียไป เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงในมหาพันภพก็อาจจะสูญพันธุ์
“ผู้อาวุโสแดนเซิ่งยวนอยู่ในทวีปนี่เหรอขอรับ?” มู่เฉินถาม
ชื่อเหยียนพยักหน้า “นี่เป็นเพียงชั้นนอกของทวีปเซิ่งยวน ส่วนแดนเซิ่งยวนอยู่บริเวณใจกลางทวีป ซึ่งมิติบริเวณนั้นได้แตกสลายและถูกห่อหุ้มด้วยพายุมิติกาลเวลา เราต้องรอให้พายุอ่อนตัวลงก่อน ข้าถึงจะส่งพวกเจ้าเข้าไปได้”
แม้แต่ชื่อเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเมื่อพูดเกี่ยวกับพายุนั้น
มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้น เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าพายุนั่นทรงพลังเพียงใดถึงทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหวาดผวาได้
“ที่จริงพลังทำลายล้างพายุเป็นเรื่องรองนะ เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีความเป็นไปได้ที่จะส่งเราไปยังโลกปีศาจ” ชื่อเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าท่างของทั้งสี่
“ทวีปนี้เป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจ ดังนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีโอกาสตายที่นี่ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”
ในเวลานี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าทำไมชื่อเหยียนจึงหวาดกลัว เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ทรงพลังยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากพวกเขาถูกส่งไปยังโลกปีศาจและเผชิญหน้ากับเหล่าราชันปีศาจอีกด้านหนึ่ง
“ลำดับแรกเราแวะที่เมืองเซิ่งยวนก่อน ที่นั่นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเซิ่งยวน”
ชื่อเหยียนโบกมือ คลื่นหลิงก็ห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุผ่านสายฟ้าหนาสีแดงเข้มไป
แม้ว่าทวีปเซิ่งยวนจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่พบกับพายุมิติกาลเวลา ชื่อเหยียนก็สามารถพุ่งทะลุผ่านอุปสรรคนานัปการด้วยความแข็งแกร่งที่มี
ภายใต้การนำของชื่อเหยียน ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็ค่อยๆ เห็นโครงสร้างของเมืองใหญ่ปรากฏในสายตา
เมื่อฟ้าดินที่มืดมิด ทำให้เมืองนี้ดูราวกับสัตว์อสูรมหึมาหมอบบนพื้น ซึ่งปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้
ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็พบว่ามีปราการขนาดมหึมาล้อมรอบเมืองทั้งเมือง ก่อให้เกิดความผันผวนของพลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัว
“นั่นค่ายกลระดับต้าจงซือ!”
หัวใจของมู่เฉินอดสั่นไหวไม่ได้เมื่อมองปราการ จากความสำเร็จในปัจจุบันของเขาในฐานะหลิงเจิ้นจงซือ เขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือเพียงแค่เหลือบตามองครั้งเดียว
นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในระดับต้าจงซือก็ตาม
“ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เฒ่าเทียนเจิ้นในสมัยโบราณ ฮ่าๆ ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ”
“ต่อให้ข้าจะใช้กำลังเต็มที่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน” ชื่อเหยียนยิ้ม
“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง?!”
ทั้งสี่คนตกตะลึง โดยเฉพาะมู่เฉินกับหลิงซี ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลพวกเขารู้ว่าบุคคลที่เรียกว่า ‘หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง’ น่ากลัวเพียงใด
เพราะระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็แบ่งออกได้เป็นสามขั้นเหมือนระดับเทียนจื้อจุนได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง สำหรับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว
นั่นคือการดำรงอยู่ของจุดสุดยอดในมหาพันภพ
“ไม่น่าแปลกใจที่ข้าจะอนุมานไม่ได้ ถ้าข้าฝืนหัวใจก็จะอ่อนล้าเต็มที” หลิงซีถอนหายใจ ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน นางสามารถหาช่องโหว่ของค่ายกลทั่วไปได้เพียงมองในแวบเดียว ทว่าหากนางฝืนผ่านค่ายกลนี้ นางอาจจะถูกโจมตีกลับ
“ทวีปเซิ่งยวนเป็นจุดเชื่อมต่อกับจักรวรรดิปีศาจ เมืองเซิ่งยวนนี้มีหน้าที่ในการจับตามองและข่มขู่ ดังนั้นจึงต้องใช้พลังปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุด” ลั่วหลีพยักหน้าขณะอธิบาย
“ไปกันเถอะ”
ชื่อเหยียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็พาทั้งสี่เข้าไปในเมืองใหญ่อย่างรวดเร็ว ผ่านเข้าสู่ปราการแสงที่ปล่อยความผันผวนรุนแรง
ขณะที่ผ่านแถวแสง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นลึกล้ำสำรวจร่างกายของเขา ภายใต้การสำรวจความลับใดๆ ที่เขาครอบครองก็จะถูกเปิดเผยทันที
มู่เฉินรู้ว่านี่จะต้องเป็นการตรวจสอบ ถ้าพบเผ่าปีศาจเมื่อไรก็จะเกิดการโจมตีทำลายล้างทันที
เมื่อทั้งหมดร่อนลงในเมือง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าเมืองนี้รุ่งเรืองและคึกคักนักจนคาดไม่ถึง ถนนเต็มไปด้วยเสียงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ก้อนเมฆ
นอกจากนี้กลุ่มของมู่เฉินยังตระหนักว่ามีคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง สามารถระบุได้ว่าพวกเขามาถึงระดับตี้จื้อจุนแล้ว…
แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่าคนที่กล้ามาที่นี่จะอ่อนแอได้อย่างไร?
สายตาของพวกเขากวาดไปที่ใจกลางเมือง แผ่นศิลาโบราณขนาดมหึมายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ศิลากระจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง มีอักษรสีแดงเข้มสลักที่จุดสูงสุด วูบไหวด้วยแสงสีแดงสด เปล่งรัศมีเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“ที่ประกาศเกียรติคุณ—ศิลาสังหารปีศาจ!”
นอกจากนี้ด้านข้างยังมีตัวอักษรทองคำแถวหนึ่งที่เปล่งออกมาอย่างไม่อาจพรรณนาได้
“จัดตั้งโดยวังมหาพันภพ”
“วังมหาพันภพ?”
สายตาของมู่เฉินสั่นไหวขณะที่พึมพำ “ใช้ชื่อมหาพันภพเลยเหรอ? ขั้วอำนาจอะไรกัน? ครอบงำเชียว”
ชื่อเหยียนเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดสายหนึ่งขณะที่มองชื่อวังมหาพันภพแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แน่นอนพวกเขาครอบงำนัก เพราะในมหาพันภพนี่คือการดำรงอยู่ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกขั้วอำนาจและเผ่าโบราณ…”
“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ…”