หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1294 ผู้อาวุโสชิงเซวียน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1294 ผู้อาวุโสชิงเซวียน
สายตาของมู่เฉินจ้องมองชิงเซวียนด้วยความตกใจ
ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่านางมีส่วนที่คล้ายคลึงกับมารดาของเขาอยู่หลายส่วน
อารมณ์ที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นในใจเขา ตามสถานการณ์นี้เขาควรเรียกนางว่า ‘ท่านป้า’ เหรอ
“นายน้อย ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาจากสายเลือดตระกูลชิงและนางมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้าจริงขอรับ” หลงเซี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเผ่าจะขับไล่เขา แต่เขาก็ยังเป็นคนที่มาจากเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงรู้ข้อมูลบางอย่างภายใน
“แต่ว่า…” หลงเซี่ยงหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “นายหญิงและตระกูลชิงก็มีรอยร้าวระหว่างกัน…”
แม้ว่าหลงเซี่ยงจะไม่ได้อธิบายกระจ่างชัดเจน แต่มู่เฉินก็สามารถเดาได้ว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของเขา หัวใจของเขาจึงค่อยๆ สงบลง ไม่ว่าหญิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับมารดาของเขาจริงหรือไม่ เขาก็ไม่ควรคาดหวังมากเกินไป
ดังนั้นสายตาของเขาจึงค่อยๆ สงบลง
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเบนสายตามา เขาเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตากับนาง ก่อนที่จะถอนออกอย่างเรียบนิ่ง
ชิงเซวียนพิจารณามู่เฉิน ความเย็นชาบนใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากมู่เฉินช่างคล้ายคลึงกับมารดาของเขาหลายส่วนเลยทีเดียว!
แต่เมื่อนางเห็นสายตาไม่แยแสของมู่เฉิน สายตานางก็ดิ่งลึกลง แต่ในไม่ช้านางก็กลับคืนสภาพไม่แยแสเช่นกันก่อนที่จะหันไปมองตาเฒ่าทั้งสองคน “ข้าแค่เตือนพวกเจ้าถึงคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ถ้าพวกเจ้าต้องการทำอย่างนั้น ข้าก็จะไม่ขัดขวาง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รับผิดชอบกันเองละกันนะ”
เมื่อได้ยินเฮยกวางและมั่วหยิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ชิงเซวียนพูด มีข่าวลือว่าการตัดสินใจไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามามีส่วนร่วมในการจับกุมมู่เฉิน เกิดขึ้นหลังจากผู้อาวุโสใหญ่และชิงเหยี่ยนจิ้งปะทะกัน
ว่ากันว่าชิงเหยี่ยนจิ้งมาถึงสถานะที่น่าสะพรึงกลัวในการบรรลุค่ายกล
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งด้วยรากฐานของตระกูล แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาโหดแน่งานนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทั้งสองก็แลกเปลี่ยนสายตากัน อดรู้สึกขัดเคืองใจไม่ได้ เด็กเลือดผสมของเผ่าฝูถูอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่พวกเขาก็ทำได้แค่มองแบบทำอะไรไม่ได้ นี่น่าอึดอัดเสียจริง
สุดท้ายพวกเขาก็เค้นเสียงสบถพลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “นับว่าแกยังมีโชคบ้าง แต่ข้าขอบอกให้แกยอมจำนนต่อเผ่าฝูซูซะ แม่ของแกจะได้เลิกทนทุกข์ทรมานซะที!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไอเย็นเยือกก็วูบไหวในนัยน์ตาของมู่เฉิน เขามองไปที่ตาเฒ่าทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว “วางใจเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมที่เผ่าฝูถูแน่นอน แต่ไม่ได้ไปยอมจำนน ข้าจะไปรับท่านแม่และถ้าพวกแกตั้งใจจะขัดขวาง ข้าจะพลิกเผ่าโบราณเลื่องชื่อให้หัวปักดินไปเลย!
คำพูดของเขาทำเอาทั่วบริเวณเงียบกริบลง
ทุกคนตาเบิกกว้างมองไปที่มู่เฉิน ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะมีความกล้าหาญและท้าทายหนึ่งในห้าเผ่าโบราณขนาดนี้
นี่เหมือนกับมดง่ามพยายามเขย่าต้นไม้
“ไอ้หนูนี่ โอหังใช้ได้” แม่เฒ่าเหอจากตระกูลเวินก็เบ้ริมฝีปาก แม้แต่ตระกูลเวินยังหวาดเกรงต่อเผ่าโบราณ สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งต่อเผ่าฝูถูเท่านั้น
ทว่าที่ด้านข้าง เวินชิงเฉวียนกลับเม้มริมฝีปากพลางมองมู่เฉินด้วยแววตาผิดแผก “ท่านป้าเหอ ท่านรู้ไหมว่า หลายปีก่อนตอนอยู่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินยังไม่ได้บรรลุระดับจื้อจุนเลย แต่ตอนนี้…เขามาถึงระดับตี้จื้อจุนได้แล้ว”
“บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอาจไม่ได้มีอะไรมากในสายตาท่าน มิหนำซ้ำก็มีช่องว่างระหว่างอัจฉริยะของเผ่าเรา ยิ่งไม่ต้องเปรียบเทียบกับเหล่าประมุขน้อยของเผ่าฝูถู… แต่จากที่ข้ารู้เขาเป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งกำลังสนับสนุนและทรัพยากรที่น่าอิจฉา สิ่งที่เขาได้มาทุกอย่างใช้พลังของตัวเขาเองทั้งสิ้น”
“ข้าคิดว่า จุดนี้ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของตระกูลเวินหรือเผ่าฝูถู พวกเขาก็คงไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้”
“ดังนั้นอย่าดูถูกเขา มิฉะนั้นจะต้องเสียใจในอนาคต”
“โอ้?” แม่เฒ่าเหอเงียบไปหลังจากได้ยินคำพูดของเวินชิงเฉวียน ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มู่เฉินคนนี้ก็เป็นต้นกล้าที่น่าตกใจแล้ว
ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้จริงๆ
“ฮ่าๆ ความกล้าหาญของเจ้ายอดนัก ตรงกับรสนิยมข้าจริงๆ!” ชื่อเหยียนหัวเราะร่วนขณะตบไหล่ของมู่เฉิน “ถ้าเจ้าไม่มีสายเลือดของเผ่าฝูถูเน่าหนอนนี่ละก็ ข้าจะทำทุกวิธีทางเพื่อเอาเจ้าเข้าเผ่าไท่หลิงแน่ๆ วะฮะฮ่า!”
“ฮึ่ม ไอ้หน้าด้าน!” มั่วหยิงแสดงสีหน้าดูถูกและไม่แยแส
สมาชิกคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูก็มองไปที่มู่เฉิน แต่สายตาส่วนใหญ่เป็นการเยาะเย้ยถากถาง แค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวกล่าวว่าต้องการเหวี่ยงเผ่าฝูถูไปรอบๆ นี่มุกตลกอะไร?
สายตาของมู่เฉินค่อยๆ สงบลง ไม่ได้พูดเถียงกับมั่วหยิง เขาถอยหลังครึ่งก้าวด้วยใบหน้าเฉยเมย
ให้เวลาเป็นตัวบอกว่าเขาโอ้อวดหรือไม่ การพูดมากไปก็สักแต่จะทำให้ผู้อื่นเยาะเย้ย
เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่อ่อนแอและต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลบหลีกเผ่าฝูถูอีกต่อไป ตอนนี้เขาสร้างปีกขึ้นมาเองได้แล้ว ต่อให้เผ่าฝูถูจะส่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนออกมา เขาก็มีวิธีที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องหมอบราบให้กับเผ่านี้อีกต่อไป
“ผู้อาวุโสชื่อเหยียน ไปกันเถอะขอรับ” มู่เฉินกล่าวขณะที่หันไปหาชื่อเหยียน
ดวงตาของชื่อเหยียนยิ้มหยีขณะที่พยักหน้าเดินออกไปพร้อมกับมู่เฉิน โดยมีลั่วหลีและพรรคพวกติดตามมา
ตอนที่มู่เฉินเดินผ่านชิงเซวียน เขาก็ชะลอตัวแวบหนึ่ง แต่ไม่หยุดเดินตัดผ่านออกไป
สิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์ทางสายเลือด’ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าในมุมมองของมู่เฉินเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เนื่องจากเขาชินกับการไร้ญาติขาดมิตรตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ชิงเซวียนมองมู่เฉินด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่นางจะกำกำปั้นในแขนเสื้อเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นในหัวใจ “น้องสาว ลูกของเจ้าดื้อรั้นเหมือนกับเจ้าจริงๆ…”
“หึ มีมารดา แต่ไร้คนสั่งสอน เย่อหยิ่งโง่เขลา ไม่รู้จักฟ้าสูงแฟ่นดินต่ำ!” เมื่อมู่เฉินเดินผละไป มั่วหยิงก็ยังคงหัวร้อนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินราดน้ำมันไปในเพลิงโทสะเพิ่มขึ้น
“ผู้อาวุโสมั่วหยิงระวังคำพูดด้วย ในฐานะผู้อาวุโสเผ่าฝูถูมารังแกเด็กรุ่นใหม่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องได้หน้าอะไร หากเจ้ากล้าพอก็ไปพูดกับน้องสาวข้าสิ!” เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดนั่น นางก็เค้นเสียงออกมา
มั่วหยิงชะงักไปในทันที แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังต้องหลบทางให้ชิงเหยี่ยนจิ้ง แล้วถ้าเขาเอาพูดคำนี้ไปพ่นต่อหน้านาง แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ปกป้องเขาไม่ได้
ทุกคนรู้ว่าเมื่อไรที่แม่เสือเข้าสู่โหมดการป้องกัน นางจะน่ากลัวขนาดไหน
ใบหน้าของมั่วหยิงสลับกันไปมาระหว่างเขียวกับขาวขณะเกรี้ยวกราดขึ้น “งั้นเราจะปล่อยให้มันหนีไปอย่างนี้เรอะ?!”
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสมั่วหยิงพูดอะไรเช่นนั้น” ชายชุดฟ้าอมเขียวที่ยืนอยู่ข้างเฮยกวางก็กล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเสียงนุ่ม
“คำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ห้ามแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเท่านั้น ไม่ได้ห้ามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจัดการนี่น่า”
ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้ม “ไอ้เจ้านั่นเพ้อฝันไปที่คิดจะหลุดจากพันธนาการของเรา”
“วางใจเถอะ เฉวียนหลัวสัญญาว่าเมื่อเราออกจากทวีปเซิ่งยวน เราจะจับไอ้กาลกิณีนั่นไปมอบให้ผู้อาวุโสใหญ่ด้วย” เฉวียนหลัวพูดเสียงอ่อนโยน ไม่มีความผันผวนใดในน้ำเสียงของเขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มาดูกันว่าใครจะสามารถจับมันได้ก่อน” ขณะเดียวกันชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังมั่วหยิงก็เปล่งเสียงแผ่วเบา
เฉวียนหลัวยักไหล่พลางยิ้ม “ในเมื่อมั่วซินต้องการที่จะแข่งขันด้วย งั้นเรามาดูกันว่าใครจะเป็นคนจับไอ้เจ้านั่นได้”
ทั้งสองพูดจากันอย่างสบาย ชัดว่าไม่เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา สำหรับพวกเขามู่เฉินเป็นเหยื่อเท่านั้น
เมื่อมั่วหยิงและเฮยกวางเห็นเรื่องราวดำเนินไปแบบนี้ก็พยักหน้าช้าๆ หากเฉวียนหลัวและมั่วซินออกโรงเอง ไอ้กาลกิณีนั่นไม่สามารถหลบหนีได้แน่
ชิงเซวียนที่เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ หัวใจก็ทรุดฮวบลง เฉวียนหลัวและมั่วซินเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า หากพวกเขาออกโรงจัดการมู่เฉินจริงๆ ละก็ งานนี้มู่เฉินถึงคราวเคราะห์แน่…