หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1299 เก็บเป็นที่ครอบครอง
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1299 เก็บเป็นที่ครอบครอง
ฟู่ ฟู่!
เกลียวลมดำมืดกวนตัวต่อเนื่องในเจดีย์ผลึกใสเมื่อใดที่ลมปะทะกับผนังเจดีย์ ริ้วแสงก็จางลงชัดว่าถูกพายุหลอมวิญญาณกัดกร่อน
ฮึ่ม!
ทว่าขณะที่มวลลมโหมกระหน่ำ เจดีย์ก็เบ่งบาน ผลึกคลื่นหลิงที่ดูราวกับผ้าไหมไขว้พันกันไปรอบๆ พายุหลอมวิญญาณ
ชี่ ชี่!
พลังงานสองสายสัมผัสกัน คลื่นหลิงก็ระเบิดออก พายุหลอมวิญญาณเหมือนกำลังดิ้นรนพยายามที่จะสลัดให้หลุดจากผลึกคลื่นนี่
เนื่องจากมันสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานเอกลักษณ์ที่อยู่ในผลึกพลังงาน ซึ่งทำให้ไม่สามารถสลายคลื่นหลิงได้อย่างง่ายดาย
ผลึกคลื่นที่ผันรอบพายุหลอมวิญญาณก็โดนสะบัดหลุดออกมาจากการดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ชัดว่าไม่ง่ายที่จะมัดอีกฝ่ายเอาไว้
“มีปัญหาจริงด้วย”
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะพายุเป็นลมไร้ราก ไม่ได้ไม่มีจุดสิ้นสุด ในทางตรงกันข้ามตัวเขามีคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ดังนั้นแม้ว่าเขาจะตบลงไปอย่างช้าๆ เขาก็จะสามารถจัดการกับพายุหลอมวิญญาณนี้ได้
เมื่อความคิดนี้พล่านขึ้น มู่เฉินก็ไม่ได้กังวล ผลึกคลื่นหลิงเริ่มห่อหุ้มพายุ แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายโดยพายุ แต่ก็ยังมีผลึกคลื่นหลิงบางส่วนติดหนึบอยู่กับลม
ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง พายุทรงพลังก็เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากบนลมพายุเริ่มกระจายผลึกแวววาวออกมา
แม้ว่าพายุนี้จะมีลักษณะเฉพาะ แต่ก็มีเพียงสัญชาตญาณไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิธีของมู่เฉินก็ไม่สามารถหลบหนีได้
สุดท้ายลูกกลมแสงกว้างประมาณหนึ่งร้อยจั้งก็ลอยอยู่ในเจดีย์พร้อมกับลมพายุพัดโชย แต่ทุกครั้งที่สัมผัสกับลูกกลมแสงก็จะเด้งกลับมา พลังการสลายของมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากแล้ว
“ถูกผลึกเรียบร้อยแล้วหรือ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ภายในเจดีย์มู่เฉินก็โล่งใจก่อนที่จะรีบวาดตราประทับ ฉับพลันมู่เฉินชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อมู่เฉินชุดขาวปรากฏตัวก็ยื่นมือไปที่เจดีย์เทคลื่นหลิงจากร่างลงไป
พร้อมกับการสนับสนุนของมู่เฉินชุดขาว ลูกกลมแสงก็เริ่มหดตัวลง ทว่าพลังปิดผนึกกลับแข็งแกร่งขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจ ลูกกลมแสงก็ถูกลดขนาดลงจนเหลือเท่าขนาดศีรษะมนุษย์ พลังปิดผนึกได้ทำให้พายุค่อยๆ สงบลง
“สำเร็จ!”
มู่เฉินเปิดดวงตาฉับพลันพร้อมกับความสุขกะพริบอยู่ภายใน ความบ้าบิ่นของเขาประสบความสำเร็จแล้ว!
“สำเร็จเหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของมู่เฉิน ลั่วหลี หลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตกใจไปก่อนที่จะอุทานพร้อมกัน
ใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือลูกกลมแสงขนาดของหัวคนก็ปรากฏขึ้น ซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายที่กำจายพลังปิดผนึกยิ่งใหญ่ไว้
ทั้งสามคนมองมาด้วยความอยากรู้ พวกเขาเห็นพายุหลอมวิญญาณสงบนิ่งอยู่ภายใน พายุซึ่งน่ากลัวต่อคลื่นหลิงใดๆ กลับไม่สามารถฝ่าด่านนี้ออกมาได้
“แม้จะเสียแรงไปบ้างแต่ก็โชคดีที่สำเร็จ ทว่าพายุนี่ก็พยายามสลายพลังปิดผนึกของข้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องคงผนึกไว้อย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นมันอาจแตกออกได้น่ะ”
“โชคดีที่สิ่งนี้ไม่เกินกว่าจะเป็นภาระของข้า” มู่เฉินมองลูกกลมแสง รู้สึกชื่นชอบอย่างยิ่ง
หลิงซีเดาะลิ้น นางไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะบ้าระห่ำที่จะปราบพายุหลอมวิญญาณ แม้ว่าเขาจะปิดผนึกส่วนหนึ่งของพายุเท่านั้น แต่ถ้าเขาปลดปล่อยออกมาขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรู แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอยู่ในสภาพน่าสมเพชได้ หากพวกเขาประมาทก็อาจถูกสังหารได้เลยทีเดียว!
นี่เป็นเครื่องจักรสังหารชัดๆ
“ด้วยพายุนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับกู้ซือหวงอีก เขาต้องตกไปในประตูนรกทางเดียว” หลงเซี่ยงชื่นชม
“กู้ซือหวงยังไม่คู่ควรให้ข้าใช้พายุหลอมวิญญาณ” มู่เฉินยิ้มบาง ด้วยความสำเร็จปัจจุบันในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แม้ว่าจะไม่พึ่งขุมพลังหลิง เขาก็ยังสามารถทำให้กู้ซือหวงต้องคลานหนีกับการต่อสู้ สำหรับพายุหลอมวิญญาณ ชายคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะบังคับให้เขาใช้ได้หรอก
“ตอนนี้เจ้าชักจะโอหังใหญ่แล้ว” หลิงซีกลอกตาใส่มู่เฉิน
ลั่วหลีหัวเราะเบาๆ แววขบขันฉายในดวงตา แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินพูดอย่างนี้เพราะความเชื่อมั่น แต่ก็เป็นเรื่องดีที่หลิงซีจะระงับความเย่อหยิ่งของเขาไว้บ้าง
มู่เฉินได้แต่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“นายน้อย ในเมื่อพายุนี้ทรงพลังมาก ทำไมเราถึงไม่เอาไปมากกว่านี้?” หลงเซี่ยงพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากพายุบ้าคลั่งนี่ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ในเมื่อมู่เฉินสามารถบรรจุเอาไว้ได้ ก็ควรคว้าโอกาสและดูดซับให้มากกว่านี้
มู่เฉินส่ายหัว “ด้วยพลังในปัจจุบันของข้า หากเอาไปมากกว่านี้จะเป็นภาระต่อข้า ซึ่งจะทำให้พลังการต่อสู้ลดลง มันไม่คุ้มค่า”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการเก็บพายุเพิ่มอีกนิด แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะผนึกคลื่นหลิงของเขาไม่สามารถบรรจุพลังย่อยสลายของพายุที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่พายุต้องใช้เวลามากขึ้นในการสลายพลังงานของเขา
ถ้าเขารับมากเกินไป เจดีย์ก็จะไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ อาจทำให้เกิดปัญหากับเขาแทน
หน้าผากของหลงเซี่ยงกระตุกเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เงียบลง
“พายุหลอมวิญญาณกำลังอ่อนลง”
ทันใดนั้นลั่วหลีก็ร้องอุทาน เมื่อเห็นพายุนอกถ้ำเริ่มสงบลง
มู่เฉินและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็น
“เตรียมไปกันต่อเถอะ”
มู่เฉินกล่าว จากนั้นก็โบกมือเก็บพายุไว้ในเจดีย์
ทั้งสี่รออยู่ช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาทีต่อมาพายุหลอมวิญญาณก็กลายเป็นลมอ่อนค่อยๆ จางหายไป
“ไป!”
เมื่อพายุสลายหายไปก็ไม่รอให้ต้องอุทานกับทิวทัศน์ของมิตินี้ กลุ่มมู่เฉินกลายเป็นร่างแสงสี่สายทะยานออกไป
เบื้องหน้าพวกเขาผีเสื้อสีมรกตนำทางอีกครั้ง
เนื่องจากมีเหตุการณ์พายุหลอมวิญญาณมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งระวังมากขึ้น เมื่อมีสิ่งผิดปกติก็จะหยุดการเดินทางหาที่หลบทันที
แต่ดูท่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาได้รับโชค การเดินทางต่อจึงเป็นไปอย่างราบรื่นมาก
แม้ว่าพวกเขาพบกลุ่มบางกลุ่มระหว่างทาง แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบกัน เพราะแต่ละฝ่ายคุมเชิงรักษาระยะทาง เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้น
การเดินทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบครึ่งวัน ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าผีเสื้อมรกตที่นำทางได้กระจายแสงแรงกล้าออกมา
หัวใจของพวกเขาสั่นไหว เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใกล้พวกเวินชิงเฉวียนแล้ว
ฟิ้ว!
ขณะที่ทั้งสี่บินข้ามยอดเขาโดดเดี่ยว เทือกเขาแห้งแตกก็ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตา ทุกยอดเขาดูราวกับใบมีดที่เปล่งรัศมีคมกริบ
ฮึ่ม!
ในเวลาเดียวกันผีเสื้อมรกตก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะสลายไป
“พบพวกนางแล้ว!”
ลั่วหลีฉายแววร่าเริงบนใบหน้าขณะที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อผีเสื้อมรกตหายไปแสงก็ลอยไปในทิศทางนั้น นั่นหมายความว่าพวกเวินชิงเฉวียนจะต้องอยู่ที่นั่นแน่!
ทั้งสี่คนเหาะเหินข้ามเทือกเขาก็เห็นพวกเวินชิงเฉวียนในหุบเขาลึกด้านใน
“เดี๋ยวก่อน”
แต่ขณะที่ลั่วหลีตั้งใจจะเข้าไปหาเวินชิงเฉวียน จู่ๆ มู่เฉินก็เอ่ยขัดไว้ สายตาเป็นประกายวูบไหว
“ดูเหมือนพวกนางจะประสบปัญหาบางอย่าง”
ลั่วหลีเพ่งสายตาไปก็เห็นมีกลุ่มคนหนึ่งยืนที่เบื้องหน้ากลุ่มเวินชิงเฉวียน นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอีกด้วย พวกเขาตั้งแนวขนาบขวางพวกเวินชิงเฉวียนไว้ในหุบเขา
เห็นได้ชัดว่าด้วยเหตุผลบางอย่างพวกเวินชิงเฉวียนถูกหมายตาแล้ว