หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1300 ต่งซัน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1300 ต่งซัน
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเขียวคล้ำขณะมองไปข้างหน้า
ร่างเงาหลายร่างกำลังยืนจังก้าพร้อมกับกอดอก ขณะที่พวกเขาจ้องมาที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน
ผู้นำเป็นคนร่างกำยำถึงแม้จะดูธรรมดา แต่แผลเป็นบนใบหน้าเขาก็ทำให้ดูน่ากลัวอยู่หลายส่วน มิหนำซ้ำร่างของเขากำจายรัศมีร้ายกาจราวกับเป็นอสูรกายเลยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาคลุมเครือบอกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
“สหายตระกูลเวิน ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ทำไมถึงต้องเขม่นกันขนาดนี้ด้วย?”
ชายคนนั้นมองมาที่กลุ่มเวินชิงเฉวียนพร้อมรอยยิ้มเป็นต่อขณะพูด “ข้าต่งซันไม่ได้จะแย่งข้อมูลของพวกเจ้าสักหน่อย เราแค่อยากร่วมมือด้วย เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะไม่ทำให้เราได้มรดกง่ายขึ้นหรือ?”
เวินชิงเฉวียนดูโกรธเกรี้ยวมาก กลุ่มที่ขัดขวางพวกนางคือพันธมิตรมือสังหารปีศาจ โดยมีผู้นำชื่อต่งซัน
เขาไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ยังเป็นมือสังหารขั้นกลางอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคะแนนสังหารปีศาจของชายคนนี้อยู่ไม่ไกลจากขั้นสูงแล้ว
นี่เป็นข่มขู่อย่างแท้จริง เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่ายากเพียงใดในการรวบรวมคะแนนสังหารปีศาจจำนวนมาก
ที่จริงแล้วต่งซันรู้ว่าพวกนางมีข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตั้งแต่อยู่ในเมืองเซิ่งยวน แต่พวกนางก็ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอการรวมตัว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะคนเหล่านี้เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลเวิน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือทำอะไร ทว่าใครจะคิดจะมาปะหน้ากันในแดนเซิ่งยวนโบราณแห่งนี้
“ฮึ่ม ร่วมมือเหรอ? ข้าเกรงว่าจะเป็นการเก็บหมาป่าไว้กับตัวนะสิ ” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นชาลงหลายส่วน ไม่มีความเป็นมิตรกับพวกต่งซัน การทำงานร่วมกับพวกเขาเหมือนกับการถลกหนังเสือที่มีชีวิต
“นอกจากนี้…”
น้ำเสียงของเวินชิงเฉวียนเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเสียงก็สาดไอเย็นชา “พวกเจ้ารู้ข้อมูลในมือพวกข้าตั้งแต่ในเมืองเซิ่งยวน ตอนนี้พอเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณก็พบกันอีก ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?”
ต่งชันยิ้มตาหยี “ไหงงั้นล่ะ?”
เวินชิงเฉวียนตอบอย่างเย็นชา “ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือก็รู้ว่าพวกข้ามีข้อมูลนี้ พวกเขาก็ส่งกลุ่มเข้ามาที่นี่เช่นกัน ดังนั้น…ข้อมูลและการติดตามพวกข้า พวกตระกูลหวู่ให้เจ้ามาใช่ไหม?”
“ตระกูลหวู่?!”
เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ถ้าเป็นเช่นนั้นตระกูลหวู่ก็ไร้ยางอายเกินไปแล้ว เพื่อจะเพลิดเพลินกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงผู้เดียว พวกมันถึงกับขายข้อมูลให้กับมือสังหารปีศาจเหล่านี้!
“ดังนั้นหมาป่าหิวโหยคงสมคบกับตระกูลหวู่มานานแล้ว หากเราทำงานร่วมกับพวกเจ้า คงไม่พ้นแทงพวกข้าข้างหลังแน่ พวกข้าไม่มีโชคที่จะได้มีเพื่อนร่วมกลุ่มเช่นนี้หรอก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็น
สายตาของต่งซันสั่นไหวก่อนที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้าใจผิดหมดแล้ว พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มตระกูลหวู่”
เวินชิงเฉวียนหลุบตาพูดว่า “ไม่ว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ พวกข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องนี้อีก”
แสงร้ายกาจเปล่งประกายในดวงตาของต่งชันหลังจากได้ยินการปฏิเสธของเหวินชิงซวนก็ยิ้ม “แม่นางเวินพูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ เมื่อออกมาข้างนอก การมีเพื่อนดีกว่าการมีศัตรูนะ?”
ขณะที่เขาพูดร่างเงาทั้งแปดเงาที่ด้านหลังก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สาดสายตาน่ากลัว แต่ละคนจับจ้องไปที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน
“ทำไม? คิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเวินเหรอ?” สายตาของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงขณะที่พูดออกมา
“ถึงแม้พวกข้าจะไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับตระกูลเวิน แต่อย่างน้อยที่นี่พวกเจ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ใช่เหรอ?” ต่งซันยิ้มบาง
พวกเวินชิงเฉวียนมีเพียงหกคนเท่านั้น นอกจากนี้คนที่ดูทรงพลังที่สุด ก็คือเวินจื่อหยู่ที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกที่เหลือก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ส่วนเวินชิงเฉวียนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น
งานนี้พรรคพวกต่งซันเขมือบกลุ่มนี้ได้สบาย
“ดังนั้นข้าหวังว่าแม่นางเวินจะพิจารณาข้อเสนออีกครั้ง” เมื่อต่งซันยิ้ม คนร้ายกาจที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอย่างช้าๆ สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลม
“พวกข้ามีคนที่จะร่วมมืออยู่แล้ว อย่าได้ฝัน!” เมื่อเห็นการก่อตัวของพวกเขา เวินชิงเฉวียนก็ยังคงแสดงท่าทางเย็นชาโดยไม่หวาดกลัว
“โอ้?”
เปลือกตาของต่งซันยกขึ้นขณะยิ้ม “ไม่เห็นจะน่าร่วมมือกับกลุ่มต่ำๆ เลย หากแม่นางเวินยินดีที่จะให้พวกข้าแทนที่ พวกเราก็ได้-ได้กันทั้งคู่เลยนะ”
เวินชิงเฉวียนไม่ได้พูด แต่หันไปหาเวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ไอสังหารวูบไหวในดวงตาเขา ไม่มีอะไรต้องพูดในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น
เวินจื่อหยู่พยักหน้าอย่างช้าๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ก็ผันผวนออกมาราวกับพายุ ค่อยๆ รวมตัวกันในร่างกายของเขา
“เฮ้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจรับความปรารถนาดีของพวกข้านะ”
ดวงตาต่งซันหรี่ลง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาก้าวออกไป รัศมีทรงพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ระเบิดออกมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้สั่นไหว
“ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธความปรารถนาดี ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”
ต่งซันยกมือขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มน่ากลัว “กำจัดพวกมันซะ!”
ปัง!
จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งออกมา
“ลงมือ!”
เวินชิงเฉวียนคำรามพลางวาดตราประทับ คลื่นหลิงพวยพุ่งออกมา
“ฮ่าๆ ไร้ยางอายจริงๆ ในเมื่อคนอื่นไม่เต็มใจทำงานด้วย ทำไมต้องมายุ่งกับพวกเขา” แต่ก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมา
ชี่!
ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักกะทันหัน ใบหน้าของต่งซันเปลี่ยนไปก่อนที่จะเงยหน้าคำราม “ใคร?!”
“กลุ่มต่ำๆ ที่เจ้าพูดถึงไง!”
เสียงหัวเราะร่วน ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวในหุบเขา
ทั้งสี่คนนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินนั่นเอง
“มู่เฉิน? ลั่วหลี!”
เมื่อเวินชิงเฉวียนเห็นสี่คน นางก็อึ้งไปก่อนที่ความปีติจะวาบขึ้นบนใบหน้า
“หืม ไอ้กากสี่ตัวนี้มาจากไหน? ไสหัวไปซะ!”
มือสังหารปีศาจสองคนที่ใกล้กับกลุ่มมู่เฉินก็คำรามและเริ่มลงมือโจมตี
พวกเขาสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้ร่วมมือกันชัดว่าตั้งใจจะสังหารมู่เฉินอย่างรวดเร็วเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆ
“ไอ้ก้อนราสองชิ้น แกกล้าจะจัดการนายน้อยของข้าเชียวเรอะ?!”
ทว่าเมื่อทั้งสองคิดจออกกระบวนท่า หลงเซี่ยงก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเหวี่ยงหมัดออกไป ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรพลายก็สะท้อนไปทั่วขณะที่ปะทะกับสองจอมยุทธ์
ปัง!
สองจอมยุทธ์สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงก่ำ พวกเขากระอักเลือดออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำลายแขนของพวกเขาซะบู้บี้ไปหมด
ร่างของพวกเขากระเด็นออกไป สร้างรอยยาวไว้บนพื้น
“บังอาจ!”
เมื่อเห็นลูกน้องสองคนได้รับบาดเจ็บหนัก ดวงตาของต่งซันก็เย็นชาลง ก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงน่าเกรงขามพวยพุ่งราวกับภูเขาไฟ
“ฝ่ามือเทพคีรี!”
กระบวนท่าของต่งซันแสดงให้เห็นถึงพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ฝ่ามือดังกล่าวสามารถบดขยี้ภูเขา ทั่วบริเวณหุบเขาเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฝ่ามือนั่นพุ่งเข้ามา ทว่าขณะที่กำลังจะโดนตัวกลุ่มมู่เฉิน หลิงซีก็ยกมือขึ้น แสงหลิงวูบไหวก่อนที่จะก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
ค่ายกลทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน ปิดกั้นฝ่ามือไม่ให้เคลื่อนที่ได้
“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน?!”
ต่งซันหดตาลง จะต้องเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนถึงสามารถขัดขวางกระบวนท่าของเขาได้อย่างง่ายดาย!
เผชิญหน้ากับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแม้แต่ต่งซันยังรู้สึกหวาดกลัว
สายตาของเขาวูบไหวขณะที่กวาดมองกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ หากพวกเขาร่วมพลังกันตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อ่อนแอกว่าใครหน้าไหน
“กำลังมองหาพันธมิตรเหรอ? ไม่ต้องหรอก พวกข้าจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” ขณะที่ต่งซันคิดจะเรียกพรรคพวก มู่เฉินก็ยิ้มบางให้
ตอนที่เขาเห็นว่าพวกเวินชิงเฉวียนกำลังมีปัญหา พวกเขาก็แอบกำจัดพวกที่ซ่อนตัวอยู่เรียบร้อย
เมื่อต่งซันได้ยิน ใบหน้าก็มืดครึ้มลงขณะที่มองมู่เฉินแสงลางร้ายกะพริบวาบในดวงตา “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองเสียเปรียบ ดีข้าจะจดสิ่งนี้ลงบัญชีไว้ แต่ไม่ต้องห่วง หนี้ของพรรคพวกข้าจะถือว่าเป็นของแกด้วย ครั้งหน้าข้าจะตัดหัวแกเอาไปหมักสุราเพื่อสังเวยสำหรับพวกเขา!”
ก่อนที่มู่เฉินจะโต้ตอบ ต่งซันก็สะบัดแขนเสื้อถอยกลับออกไปโดยไม่ลังเล
พรรคพวกของเขาติดตามไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเงาร่างของพวกเขาก็อันตรธานหายไป
เมื่อมู่เฉินเห็นว่าต่งซันไปโดยไม่ลังเล เขาก็ค่อนข้างตกใจก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่กะพริบอยู่ในแขนเสื้อจะจางลง
ถ้าต่งซันอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย รอให้เขาเตรียมค่ายกลจนพร้อมสรรพ ในเวลานั้นพวกเขาคงได้แต่ฝันที่จะจากไป
แต่ชัดว่าเขาประเมินความระมัดระวังของต่งซันต่ำไป ชายคนนั้นต้องรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถอยกลับไปโดยไม่ลังเล
มู่เฉินหรี่ตาจ้องมองไปยังทิศที่พวกต่งซันจากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เด็ดเดี่ยวนัก… ครั้งต่อไปที่พบกัน ข้าต้องกุดหัวมันไม่ให้เหลือซากแล้ว”