หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1306 ประจัญบานในถ้ำ
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1306 ประจัญบานในถ้ำ
“ปล่อยพวกมันไว้กับเจ้าหรือ?”
เวินชิงเฉวียน เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ไม่ออกหน้ามาตลอดทาง จะขอจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนนี้เอง
ตอนนี้เขามีขุมพลัตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นนะ!
“เจ้าไหวเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดไม่ได้ที่จะถาม แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่อย่างมากนางก็คิดว่ามู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เท่านั้น แต่นางไม่คิดว่าเขาจะสามารถปะทะกับสองคนได้
“อย่าถามคำถามแบบนี้กับผู้ชาย” มู่เฉินยิ้มล้อเล่น
เวินชิงเฉวียนอึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเห่อแดง นางจ้องมู่เฉินเขม็ง “อยากตายรึไง!”
มู่เฉินยิ้ม หลังจากคลายความตึงเครียดในกลุ่มแล้ว เขาก็มองไปที่หลิงซี “พี่หลิงซี ข้าจะทิ้งหวู่ทงไว้กับเจ้าเป็นการชั่วคราว แค่ขัดขวางเขาไว้ก็พอ”
หวู่ทงทรงพลังมากกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไป บางทีแม้ว่าหลิงซีจะเคลื่อนไหว แต่นางก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล ไม่น่าจะลำบากถ้าแค่ขัดขวางไว้
“ได้เลย” หลิงซีพยักหน้า แสงหลิงกะพริบในมือพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้น
“งั้นต่งซันข้าจัดการเอง!” เวินจื่อหยู่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต่งซันตอนที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เวลานี้ด้วยวิชาขยายสายเลือดจากเวินชิงเฉวียน เขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าแล้ว
“ลั่วหลี เจ้านำพรรคพวกคนอื่นๆ เข้าจัดการพวกเขาที่เหลือ”
ลั่วหลีพยักหน้า นอกเหนือจากหวู่ทง ต่งซันและองครักษ์เงาทั้งสองคนแล้ว คนที่เหลือก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ซึ่งพวกเขาสามารถจัดการได้
“งั้นลุยเลย!”
หลังจากเลือกคู่ต่อสู้กันแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาที่ยิ้มแย้มในตอนแรกก็คมชัดขึ้น ในวินาทีต่อมาก็ทิ้งเงาไว้ด้านหลังขณะที่ทะยานออกไป
เขาตบลงบนอากาศ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มองครักษ์เงาสองคนไว้
“รนหาที่ตาย กล้าที่จะสู้กับองครักษ์เงาสองคนด้วยตัวคนเดียวเรอะ?” หวู่ทงอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
องครักษ์เงาทั้งสองไม่มีอารมณ์ใดๆ พวกเขามีเพียงสัญชาตญาณในการฆ่า ช่วงเวลาที่ต่อสู้ เว้นแต่พวกเขาจะฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามเป็นชิ้นๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่หยุดฆ่าแน่นอน
เผชิญหน้ากับเครื่องจักรสังหารเหล่านี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังขยาด แต่มู่เฉินกำลังจะปะทะกับสองคนนี้ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ในสายตาของหวู่ทงนี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
ต่งซันก็ส่ายหน้าอย่างสังเวช ตอนแรกเขาตั้งใจจะจับมู่เฉิน ทรมานให้จนรู้สึกว่าตายดีกว่าอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ศพก็คงไม่เหลือไว้ต่างหน้า
โฮก!
เมื่อคลื่นหลิงของมู่เฉินห่อหุ้มองครักษ์เงาทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกถูกแรงดึงดูด เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าเปล่งออกมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออกอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ทั้งสองพุ่งออกมาราวกับสัตว์อสูรดุร้ายกระโจนใส่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว หากร่างถูกปะทะละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องกระอักเลือดถอยกลับ
เผชิญหน้ากับการพุ่งเข้าชนจากองครักษ์เงา มู่เฉินที่พุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักก่อนจะถอยหนี ชัดว่าตั้งใจจะหลบการปะทะนี้
โฮก!
องครักษ์ทั้งสองก็ตามโรมรันพันตู แต่ละคนควงกำปั้น คลื่นหลิงสีแดงเข้มข้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
ภายใต้การโจมตีที่ดุร้ายนี้ มู่เฉินก็ถอยอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหวู่ทงและต่งซันเห็นว่ามู่เฉินถอยหนีจ้าละหวั่น รอยยิ้มเย้ยหยันก็กระจายบนใบหน้าหนาแน่นขึ้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถจากการโม้ไว้บ้าง แต่การตัดสินจากสถานการณ์นี้เขาบ่มิไก๊เลยทีเดียว
“กำจัดพวกมันซะ”
หวู่ทงโบกมือเบาๆ สายตามองเวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ แบบไม่แยแส
ตู้ม!
ที่ข้างหลัง ทั้งสองกลุ่มระเบิดคลื่นหลิงทรงพลังออกมา อึดใจร่างเงาก็ทะยานเข้าใส่พวกเวินชิงเฉวียน
“มู่เฉินไหวแน่ใช่ไหม?” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินซึ่งกำลังถอยหนีพร้อมกับสายตาเป็นห่วง
“วางใจเถอะ เขาไม่ใช่พวกฝืนตัวหรอก” ลั่วหลียิ้มบางก่อนจะพยักหน้าให้จอมยุทธ์ตระกูลเวิน ทันใดนั้นร่างหลายร่างก็โผทะยานออกไปเพื่อป้องกันการพุ่งเข้ามาของศัตรู
“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับพี่มู่นะ” เวินจื่อหยู่ถอนหายใจ ตอนนี้ถึงเขาต้องการช่วยมู่เฉินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้น
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตั้งสมาธิพุ่งตัวออกไปปรากฏที่เบื้องหน้าต่งซันเพื่อปิดกั้นอีกฝ่าย
“เฮ้ แกเนี่ยนะ? ที่คิดจะขัดขวางข้า?!” เมื่อต่งซันเห็นเวินจื่อหยู่ก็แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย ทำให้บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง
ท่องยุทธภพรอบๆ แดนเซิ่งยวนมาหลายปี ต่งซันสู้รบปรบมือมานับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้กว้างขวาง เขาไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆ หรอก
แต่เวินจื่อหยู่ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากตระกูลเวิน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหมุนเวียนคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะกำมือกระบี่ยาวสีดำก็ปรากฏขึ้น ใบมีดถูกแกะสลักด้วยอักขระโบราณที่กำจายรัศมีคมชัด
กระบี่ยาวนี้คืออาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง!
กระบี่ปรากฏในมือของเวินจื่อหยู่ ท่าทางเขาก็ค่อยๆ สงบลง ดวงตาราวกับใบมีดคมจับจ้องที่ต่งซัน
“หึ!”
ต่งซันเค้นเสียงเย็นพร้อมกับม่านตาหดลง อาวุธมหสรรค์ขั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นบ่อยนัก แม้กระทั่งเขายังไม่ได้เป็นเจ้าของหลังจากต่อสู้มานานหลายปี ทำให้รู้สึกว่าพวกที่มาจากพื้นเพยิ่งใหญ่ ช่างขวางหูขวางตาเสียจริง
เขากำมือแน่น ดาบสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือ ดาบนี้ก็เป็นอาวุธมหสรรค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น
วาบ!
ต่งซันถือดาบจังก้าที่เบื้องหน้าเวินจื่อหยู่พร้อมกับรังสีสังหารไร้ขอบเขตพล่านตามมา จากนั้นก็ฟันลงเต็มแรง
เวินจื่อหยู่ใช้กระบี่ตั้งรับการโจมตีทันที อึดใจก็ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงรุนแรงอันแปรปรวนพุ่งเข้าปะทะ
“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเหรอ?”
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทุกจุด หวู่ทงก็มองหลิงซีตายิ้มหยี “อา…สาวงามตัวจริง เอาแบบนี้ตระกูลเวินเสนอให้เท่าไร? ข้าจะจ่ายให้เป็นสองเท่าเลย”
ตอบสนองต่อคำพูดเยาะเย้ยนั่น หลิงซีก็ยิ้มบาง “เจ้าลองเสนอราคาที่น่าดึงดูดออกมาสิ?”
หวู่ทงหัวเราะเบาๆ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็เย็นชาลง เงาของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับหมัดเหวี่ยงออกมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ซัดใส่หลิงซี
“ให้เวลากับพวกหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แกคิดว่าข้าโง่นักเรอะ?”
หวู่ทงเป็นคนฉลาด อ่านความคิดของหลิงซีออกทันที เหล่าหลิงเจิ้นซือต้องใช้เวลาในการเตรียมค่ายกลทรงพลังเมื่อพวกเขาต่อสู้
หมัดทะยานออกมา ทว่าหลิงซีก็ยังคงมีท่าทางสงบ นางแตะปลายนิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้า อึดใจค่ายกลก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นแม่น้ำคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นคลื่นหลิง
ปัง!
ความปั่นป่วนครั้งใหญ่กระจายออก แม่น้ำสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทว่าน้ำในแม่น้ำก็ยึดติดหมัดเอาไว้ ทำให้หมัดละลายอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลเก้ามังกรธารา!”
ตราประทับในมือหลิงซีเปลี่ยนแปลงวูบไหว แม่น้ำคลื่นหลิงก็พวยพุ่งเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเปล่งประกายบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นค่ายกลลึกซึ้ง
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรดังก้อง มังกรธาราเก้าตัวพุ่งเข้าหาหวู่ทง
“หึ!”
หวู่ทงเค้นเสียงเย็น ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่เขาจะผลักออกไป
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ฝ่ามือสงครามศักดิ์สิทธิ์!”
ฮึ่ม!
ฝ่ามือสีทองทั้งเก้าซัดออกมา แล้วตบลงเบาบนมังกรธาราทั้งเก้า พลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออก ขณะที่คลื่นพลังถูกลดระดับกลายเป็นหมอก
“แกกล้าใช้ค่ายกลระดับนี้ต่อหน้าข้าเหรอ?” หวู่ทงเค้นเสียงเย็นชา
“งั้นเหรอ?”
หลิงซียิ้ม จากนั้นก็เริ่มวาดตราประทับซับซ้อนวูบไหว ในเวลาเดียวกันหวู่ทงก็ตระหนักได้ว่ามังกรธาราที่เขาเพิ่งทำลายกลายเป็นผนึกสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วน
พวกมันรวมเข้ากับมิติอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าตกใจ กลายเป็นค่ายกลน้ำสีดำทะมึน
ค่ายกลนี้ราวกับคุกน้ำครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ดักจับหวู่ทงไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง ค่ายกลคุกน้ำอันธการ!”
ตู้ม!
ขณะที่มู่เฉินถอยออกไปต่อเนื่ององครักษ์เงาคนหนึ่งก็สามารถเข้ามาใกล้ได้พร้อมกับกำปั้นราวกับเส้นแสงซัดใส่หัวของมู่เฉิน
ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยผลึกแก้วใส เจดีย์ปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในร่างกายปะทุขึ้นโดยที่ไม่ยับยั้ง
ปัง!
กำปั้นโยนออกไป เขาเลือกที่จะปะทะซึ่งหน้า
มิติแตกสลายเมื่อเกิดการสัมผัสกัน องครักษ์เงาถอยห่างออกไปหลายก้าว ส่วนมู่เฉินถอยออกไปสิบกว่าก้าวพร้อมกับกำปั้นของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ
ตู้ม!
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง องครักษ์เงาอีกคนปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ตัว เล็งไปทางด้านหลังของหัวใจมู่เฉิน
แต่คราวนี้เขาไม่คิดจะถอยแล้ว รอยยิ้มเย็นๆ กลับผุดขึ้นบนริมฝีปาก
มือยื่นออกมา จากนั้นก็วาดตราประทับก็วาดขึ้นใส่องครักษ์เงาคนนั้น
ครืน!
มิติระเบิดออกมาพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงนับไม่ถ้วน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพริบพราวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าดูราวกับมหาสมุทรเพลิง อุณหภูมิที่น่ากลัวโหมกระหน่ำ
มิติสีแดงเข้มห่อหุ้มไว้ร่างองครักษ์เงาไว้พอดี
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นขณะที่สายตาจ้องไปที่องครักษ์เงาที่เปล่งรัศมีดุเดือด เสียงดังเปล่งออกมาจากปากเขา
“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”
ปัง!
มิติก่อตัวเป็นโลกลาวาพร้อมกับเงามหึมาลอยขึ้นช้าๆ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายที่สุดในโลกที่เกิดจากภูเขาไฟ