หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1353 การต่อสู้ทางอำนาจของจักรวรรดิเหนือ
“สำนักเมฆาม่วง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าของมั่นถัวหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียดก่อนที่นางจะเหลือบไปที่ด้านนอกห้องโถงพูดว่า “ตาเฒ่าสามคนนั่นเป็นผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงที่มีตำแหน่งสำคัญ เจ้าใจกว้างจริงๆ ที่ปล่อยพวกมันไป”
ถึงยังไงทั้งสามคนก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ถ้าจับพวกเขาไว้ก็จะสามารถข่มขู่สำนักเมฆาม่วงได้
“เวลาหนึ่งปีต่อจากนี้พวกเขาจะสูญสิ้นศักยภาพ ต่อให้หายพลังก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น” มู่เฉินยิ้มเหี้ยมก่อนจะพูดต่อ “ผนึกที่ข้าทิ้งไว้ไม่สามารถลบออกได้ เว้นแต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเป็นผู้ลบออกให้”
เขาพูดอย่างสบาย แต่คำพูดนี้ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในห้องโถงสั่นสะเทือนด้วยความหวาดผวา วิธีของประมุขพวกเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ผนึกที่เขาทิ้งไว้นั้น ต้องใช้ระดับเทียนจื้อจุนลบออกเชียวเหรอ?
มั่นถัวหลัวก็ประหลาดใจไปเช่นกัน ขณะที่นางมองมู่เฉิน นางไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะทรงพลังมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่นางต้องกังวลเกี่ยวกับผีแก่สามตัวนั่น
ต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง กลอุบายเล็กน้อยก็ไม่มีความสำคัญ
“เจ้าก็รู้ว่าภูมิภาคทางเหนือของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ แม้ว่าเราจะรวมกันเป็นหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเราถือได้อยู่ชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ
มู่เฉินพยักหน้า ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปในมหาพันภพ ทวีปที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้มีน้อยมากกระทั่งในมหาพันภพ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีขั้วอำนาจพอกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ในบรรดาขั้วอำนาจเหล่านั้นก็มีบางส่วนที่ยากแท้หยั่งถึง
“จักรวรรดิเหนือมีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่สามขั้วในตอนนี้ ก็คือสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีดินแดนกว่าเจ็ดส่วนอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา” มั่นถั่วหลัวอธิบาย
“สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…” มู่เฉินพยักหน้า ในอดีตเขาไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อนเนื่องจากภูมิภาคทางเหนือมีแต่ความวุ่นวายและอ่อนแอเกินไป ซึ่งเป็นผลให้ไม่มีขั้วอำนาจระดับสูงใดพยายามจะจับมือกับภูมิภาคทางเหนือ
ตอนนี้ภูมิภาคทางเหนือรวมเป็นหนึ่งเดียวและเริ่มแข็งแกร่งขึ้นบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัว ทำให้พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ ดังนั้นจึงไปดึงดูดสายตาสำนักเมฆาม่วงเข้าให้
“พลังของสำนักเมฆาม่วงเป็นยังไง?” มู่เฉินถาม สำนักเมฆาม่วงคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้อย่างสงบแน่นอนดังนั้นเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
“สำนักเมฆาม่วงมีผู้อาวุโสใหญ่หกคน ทั้งหมดอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตาแก่สามคนที่มาก่อนหน้านี้ก็เป็นสามในนั้น”
มู่เฉินพยักหน้า การมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหกคนถือว่าทรงพลังแท้จริง แม้แต่แคว้นเซี่ยและตำหนักเทพอสูรที่เขาเคยพบมาก่อนซึ่งมีชื่อเสียงมากในทวีปเทียนหลัวก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกัน
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินทวีปเทียนหลัวต่ำไปในอดีต
“แน่นอนว่าผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหกไม่ใช่จอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นประมุขสำนักเมฆาม่วงซึ่งอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดมานาน มีข่าวลือว่าเขาเริ่มสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน พลังของเขาน่ากลัวมากจนไม่ใช่สิ่งที่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะสามารถต่อกรได้” ขณะที่พูดดวงตาของมั่นถัวหลัวก็อัดแน่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ในมหาพันภพมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ชะงักการเพาะบ่มพลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้ นั่นเป็นเพราะการบรรลุขั้นตอนนั้นจะทำให้พวกเขาเปิดประตูสู่ระดับเทียนจื้อจุน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสบุกเข้าไปในระดับดังกล่าวในอนาคต
“เขาสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงแปลกประหลาดเมื่อได้ยินก่อนที่จะครุ่นคิด “ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในจักรวรรดิเหนือเรอะ?”
ด้วยประสบการณ์และมุมมองที่กว้างขึ้น เขาพบว่านี่แปลกเกินไป โดยทั่วไปทวีปเทียนหลัวที่เป็นมหาทวีปควรเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจมากมายต้องการจะครอบครอง แล้วเหตุใดทวีปเทียนหลัวจึงยังคงไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที
จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไม่น่าจะปล่อยให้ทรัพยากรเหลือเฟือของทวีปทียนหลัวไม่ถูกแตะต้อง
“บางทีในทวีปเทียนหลัวยังอาจไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย” มั่นถัวหลัวส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ให้ความสนใจกับทวีปเทียนหลัวอาจจะอยู่นอกเหนือจินตนาการของเจ้าเลย”
มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจบางอย่าง “ดูเหมือนว่าขั้วอำนาจจำนวนมากจับตาดูทวีปเทียนหลัวสินะ…”
ทวีปเทียนหลัวเป็นชิ้นเนื้อติดมันชุ่มฉ่ำ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ในมหาพันภพยังปรารถนา ทว่าก็มีคู่แข่งมากเกินไปสำหรับเนื้อติดมันนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถครอบครองได้ ด้วยวิธีนี้จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลแทนโดยมีขั้วอำนาจคอยตรวจสอบซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ทวีปเทียนหลัวไม่มีเจ้าเหนือหัวสักที
มั่นถัวหลัวพยักหน้า “เหล่าขั้วอำนาจที่จับตามองทวีปเทียนหลัวต่างร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาที่ทวีปเทียนหลัวนี้ ปล่อยให้แข่งขันกันเองจนกว่าเจ้าเหนือหัวจะปรากฏขึ้น”
“แต่แม้ว่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนจะเข้ามาในทวีปไม่ได้ แต่ขั้วอำนาจเหล่านั้นก็ยังมีวิธีอื่น นั่นก็คือส่งคนที่มีขุมพลังต่ำกว่านั้นมาสร้างขุมกำลังในทวีปและเสริมกำลังจนกว่าจะกลายเป็นเจ้าเหนือหัว”
ดวงตาของมู่เฉินหดลง หากเป็นเช่นนั้นขั้วอำนาจชั้นสูงในทวีปเทียนหลัวไม่ถือว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังหรือ?
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่พยักหน้า “ถูกต้อง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองต่างมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังพวกเขา”
“หลายปีที่ผ่านมาขั้วอำนาจทั้งสามพยายามต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ในเดือนหน้าก็จะถึงวันชิงอำนาจตามสนธิสัญญา ผู้แพ้จะต้องถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือ”
“มิน่าพวกเขาถึงก้าวร้าวขนาดนี้” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเมฆาม่วงจะเย่อหยิ่ง ที่แท้พวกเขามีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่นี่เอง
ดูเหมือนว่าเขาประเมินความลึกของทวีปเทียนหลัวต่ำไป ตอนแรกเขายังคิดว่าไม่มีขั้วอำนาจสูงสุดในทวีป ที่ไหนได้คนเหล่านั้นจับตามองทวีปนี้ไว้นานแล้ว ก็เหมือนกับหมากรุก ในอดีตเขาและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวหมากบนกระดานด้วยซ้ำ
ถ้าในกรณีนี้การปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่การมาของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยับยั้งพวกเขาไว้ได้กลายๆ
ทว่าสถานการณ์ที่ซับซ้อนในทวีปเทียนหลัวไม่ได้ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดกลัว เขาไม่ใช่เด็กอ่อนหัด เขาไม่กลัวจอมยุทธ์คนใดที่อยู่อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุน ไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดที่ได้สัมผัสกับขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้ว
สำหรับขั้วอำนาจสูงสุดเหล่านั้น ตอนนี้ตัวเขาถือเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครองอำนาจใด แต่วังมหาพันภพก็ยอมรับสถานะของเขา
ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นยันต์ป้องกันที่ยอดเยี่ยม หากขั้วอำนาจเหล่านั้นและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยากจะแตะต้องตัวเขาก็ต้องพิจารณาถึงวังมหาพันภพให้ดี
ยิ่งกว่านั้นเขายังมีหินสลักของเทพจักรพรรดิสงครามอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะในแง่ของขุมพลังหรือปัจจัยอื่นๆ ก็ไม่สามารถเอาอดีตมาเทียบได้อีกต่อไป ในอดีตสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาสามารถทำได้ในตอนนี้
“ตอนนี้ตำหนักมู่ของเรามีรายได้ต่อปีละเท่าไร?” จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นขณะที่มองไปที่มั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวอึ้งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถาม ก่อนที่นางจะตอบหลังจากไตร่ตรองสั้นๆ “ปัจจุบันตำหนักมู่มีของเหลวจื้อจุนประมาณสามร้อยล้านหยดต่อปี”
“สามร้อยล้าน…”
มู่เฉินส่ายหน้าเบาๆ เขามีกองทัพมังกรดำซึ่งเป็นตัวสูบขั้นสุดซึ่งต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนแปดร้อยล้านหยดต่อปี
ไม่ต้องพูดถึงวิชาเจดีย์แปดองค์ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์ แม้ว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว แต่ก็จำเป็นต้องใช้ของเหลวจื้อจุนจำนวนมากเพื่อเปิดใช้
ดังนั้นตามการคาดการณ์เขาน่าจะต้องใช้ประมาณหนึ่งพันล้านหยดต่อปีเพื่อรักษากองทัพมังกรดำและวิชาเจดีย์แปดองค์
เห็นได้ชัดว่าปริมาณการบริโภคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่ในตอนนี้สามารถรองรับได้
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบเล็กน้อยก่อนที่จะถามอีกครั้ง “แล้วปีหนึ่งสำนักเมฆาม่วงมีรายได้เท่าไร?”
มั่นถัวหลัวหันไปทางเทียนจิ้วที่ปัจจุบันดูแลหน่วยสืบราชการลับของตำหนักมู่อยู่
เทียนจิ้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “รายงานท่านประมุข จำนวนผลกำไรที่สำนักเมฆาม่วงได้รับของเหลวจื้อจุนมีประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยดต่อปี”
“หนึ่งพันห้าร้อยล้านหยด…”
รอยยิ้มเผล่ปรากฏบนใบหน้ามู่เฉิน ต้องขั้วอำนาจระดับนี้ถึงจะสามารถทนต่อการบริโภคของเขาได้ ซ้ำยังช่วยให้ตำหนักมู่ขยายตัวได้อีกด้วย
เมื่อเห็นมู่เฉินยิ้มออกมา มั่นถัวหลัวก็รู้สึกงงงวยก่อนที่จะตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าควรคิดว่าจะจัดการกับสำนักเมฆาม่วงดีกว่า พวกเขาไม่ปล่อยให้เรื่องไปอย่างสงบแน่นอน”
“นอกจากนี้เจ้ายังแสดงให้เห็นถึงพลังยอดเยี่ยม ข้ากลัวว่างานนี้ตำหนักมู่ของเราจะตกอยู่ในสายตาของสามยักษ์ใหญ่จักรวรรดิเหนือซะแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าเราจะเผชิญหน้ากับปัญหาอื่นมากขึ้น”
คนอื่นๆ ก็พยักหน้า สำนักเมฆาม่วงเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของจักรวรรดิเหนือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกดดันมาก แม้ตอนนี้จะมีมู่เฉิน แต่พวกเขาก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้
มู่เฉินยิ้ม “ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล…การแย่งชิงอำนาจเพื่อครอบครองจักรวรรดิเหนือจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม?”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร
มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม เสียงดังก้องไปทั่วทั้งโถงทำเอาทุกคนตกตะลึงไป
“งั้นข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ตำหนักมู่ของเราจะเข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัวด้วย!”