หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1354 ตำหนักมู่อันเฟื่องฟู
“เข้าร่วมการต่อสู้ชิงอำนาจจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัว?”
เสียงของมู่เฉินทำให้ผู้คนตกตะลึง พวกเขาสติหลุดลอยไปอย่างเห็นได้ชัดกับแผนการทะเยอทะยานนี้
ที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือก็ถือว่าเป็นขั้วอำนาจชั้นกลางในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลงชิงชัย
ถึงแม้ว่ามู่เฉินจะโดดเด่น แต่ตำหนักมู่อ่อนแอเกินไป มีเพียงมั่นถัวหลัวหนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
เมื่อมองไปเห็นสีหน้าตกตะลึงของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะชี้ไปทางหลิงซีและหลงเซี่ยง “หลงเซี่ยงและหลิงซีจะเข้าร่วมกับตำหนักมู่ด้วย คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม อีกคนเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน”
พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลงเซี่ยงแล้วจึงไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวชุดขาวเป็นหลิงเจิ้นจงซือ พวกเขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจทันทีเมื่อมองไป
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มู่เฉินก็โบกแขนเสื้อแสงหลิงวูบไหวก่อนที่ภาพเงาแข็งแกร่งจะปรากฏขึ้น นี่ก็คือเจียงหลงแม่ทัพมังกรดำ
“นายท่าน” เจียงหลงประสานมือให้มู่เฉิน ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“แม่ทัพเจียงหลงจะเข้าร่วมตำหนักมู่ของเราด้วย” มู่เฉินตบไหล่เจียงหลง อีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มีพลังอันยิ่งใหญ่
แม้ว่าเจียงหลงไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไร แต่ก็พยักหน้ารับ
โห
ความโกลาหลกวนตัวในโถงขณะที่พวกหลิ่วเทียนเต้าฉายสีหน้าไม่อยากเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเขากลับมาครั้งนี้ยังนำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาด้วย
ทั้งสามเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในแง่ของพลังแค่พวกเขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งตำหนักมู่แล้ว
แต่หลังจากความปั่นป่วน ทุกคนก็มีไฟลุกโชนในดวงตา ในอดีตตำหนักมู่ไม่กล้าแม้แต่จุ่มมือไปแตะยังตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากพวกเขายังอ่อนแอ ทว่าการกลับมาของมู่เฉินได้นำพาความแข็งแกร่งไปสู่ระดับใหม่
ด้วยพลังนี้บางทีพวกเขาก็สามารถไปลองดูบ้าง อย่างน้อยแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ แต่ก็สามารถได้รับตำแหน่งที่คล้ายกับสำนักเมฆาม่วง
ในเวลานั้นสถานะและทรัพยากรของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
แค่คิดถึงก็ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนรุ่มในใจ ทั้งหมดผุดลุกขึ้นประสานมือคำนับต่อมู่เฉิน “เรายินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของประมุข!”
เมื่อมองไปโดยรอบมู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถ้าตำหนักมู่ต้องการที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ พวกเขาก็ต้องสร้างความมั่นใจคนของตัวเองก่อน เพื่อทำให้ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น
มู่เฉินหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไร?”
มั่นถัวหลัวยักไหล่อย่างสบายๆ “เจ้าเป็นประมุข ดังนั้นเจ้าคือคนตัดสินใจ”
นางยังประหลาดใจกับจอมยุทธ์ที่มู่เฉินพากลับมา เมื่อมีทั้งสามคนเข้าร่วมพลังของตำหนักมู่จะถูกยกขึ้นไปอีกระดับ
แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการตำแหน่งเจ้าเหนือหัวก็ต้องพึ่งพามู่เฉิน เพราะพวกเขาขาดพลังในการต่อสู้ระดับสูงเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเมฆาม่วงที่เป็นจอมยุทธ์ซึ่งสัมผัสกับระดับตี้จื้อจุนแล้ว
ขณะที่พูดนางก็กวาดมองไปที่ทุกคน “ในเมื่อประมุขตั้งใจที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือ ทุกคนก็ต้องเพิ่มการฝึกฝน อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้เราจะเข้าร่วมในการประชุมจักรวรรดิเหนือเพื่อชิงชัยตำแหน่งเจ้าเหนือหัว!”
“รับทราบ!” ทุกคนตอบรับก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน เมื่อเขาพยักหน้า แต่ละคนก็ออกจากห้องโถงไป
เมื่อทุกคนไปหมดแล้ว มั่นถัวหลัวก็มองไปที่มู่เฉินกะพริบตาด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสนใจที่จะเป็นเจ้าจักรวรรดิเหนือ?”
นางรู้จักนิสัยมู่เฉินที่ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน มิฉะนั้นเขาคงไม่ละทิ้งตำหนักมู่และหายตัวไปนานขนาดนี้
มู่เฉินดูอึกอักไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบตรงไปตรงมา “ข้าต้องการของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งพันล้านหยดต่อปี ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว”
จริงอย่างที่มั่นถัวหลัวพูด เขาไม่ได้สนใจตำแหน่งเจ้าจักรรรดิเหนือ แต่เพื่อสนับสนุนกองทัพมังกรดำเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้ การสนับสนุนกองทัพที่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ตอนที่อยู่ในจุดสุงสุดเป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่สามารถปล่อยวางได้ ทว่าเขาไม่มีเวลาในการคิดมากนักในการหาวิธีรับของเหลวจื้อจุน ดังนั้นหากต้องการของเหลวจื้อจุนมหาศาลในระยะยาว การสร้างขั้วอำนาจที่ทรงพลังเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้
ตอนนี้มั่นถัวหลัวเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ลงรายละเอียด แต่นางสามารถเข้าใจได้ว่าของเหลวจื้อจุนต้องมีความจำเป็นสำหรับเขา มิฉะนั้นเขาคงไม่ไปทำอะไรที่ยุ่งยากเช่นนี้
“ที่นี่คือตำหนักมู่ เจ้าเป็นประมุขเพียงคนเดียว ตราบเท่าที่เจ้าเสนอตำหนักมู่ก็จะสนองทุกอย่างเพื่อเจ้าได้” มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า นางเห็นได้ว่ามู่เฉินรู้สึกผิดในใจอยู่เล็กน้อย
มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขแต่ก็เป็นสิ่งที่มั่นถัวหลัวมอบให้ นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักนี้ขึ้นมา มั่นถัวหลัวก็ทำงานหนักและนี่ก็คืองานหนักทั้งหมดของนาง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกอึดอัดใจเนื่องจากเขาต้องการให้ตำหนักมู่ได้ของเหลวจื้อจุนเพิ่มจำนวนมหาศาลเพื่อสำหรับเขาไว้ใช้
“ใช่แล้ว นี่พี่หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลง” มู่เฉินระงับความรู้สึกขอบคุณไว้ในใจก่อนที่จะแนะนำ
หลิงซีเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้มั่นถัวหลัว ระหว่างทางมู่เฉินเล่าเรื่องมั่นถัวหลัวให้พวกนางฟัง ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกขอบคุณมั่นถัวหลัวที่ดูแลมู่เฉินอย่างดีมาตลอด
มั่นถัวหลัวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขอบคุณในดวงตาของหลิงซี นางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉิน จากรูปลักษณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
หลังจากทั้งสองฝ่ายรู้จักกันแล้ว มั่นถัวหลัวก็นำกลุ่มมู่เฉินออกจากห้องโถง ตำหนักมู่ในตอนนี้ก็คือเขตต้าหลัวเทียนแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์นั่นเอง
ตอนนี้สำนักงานใหญ่ยังเชื่อมต่อกับวังสวรรค์บรรพกาล
มู่เฉินก็อยากรู้เช่นกัน พวกเขาเข้าไปในวังสรรค์บรรพกาลภายใต้การนำทางของมั่นถัวหลัว
เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล พื้นที่ยังคงปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ แต่ซากปรักหักพังแต่เดิมเริ่มถูกทำความสะอาดบ้างแล้ว วังสร้างขึ้นใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างด้วยโครงร่างของผู้นำทวีปเทียนหลัวก่อนหน้า
“ยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้เปิด เนื่องจากมีค่ายกลเสียหายทรงพลังที่หลงเหลือ แม้กระทั่งข้ายังไม่กล้าที่จะเข้าไป จึงได้แต่จำกัดการเข้าสู่สถานที่เหล่านั้น” เมื่อมองไปที่ดินแดนโบราณ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเกิดของนาง ทว่ามันถูกทำลายเมื่อนางตื่นจากนิทรา
“เจ้ามอบหน้าที่ค่ายกลที่เสียหายให้พี่หลิงซีได้เลย นางเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน น่าจะสามารถปรับแต่งหรือจัดการลบออกได้” มู่เฉินพอใจมากที่วังสรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จึงยิ้มแย้มแจ่มใส
หลิงซีพยักหน้า นางเองรักในศาสตร์ค่ายกลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนางที่จะได้ศึกษาค่ายกลโบราณเหล่านั้น
มั่นถัวหลัวชื่นชมยินดีในหัวใจ วังสวรรค์บรรพกาลจะสามารถพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้นด้วยความช่วยเหลือของหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน
ทุกคนเดินต่อไป อึดใจต่อมาพวกเขาก็เห็นแม่น้ำสีเงินพราวระยับไหลเอื่อยบนท้องฟ้า กำจายคลื่นหลิงไร้ขอบเขตออกมา
“คลื่นหลิงบริสุทธิ์อะไรปานนี้!” เมื่อหลิงซีและหลงเซี่ยงเห็นแม่น้ำขนาดมหึมาก็พากันร้องอุทานทันที
คลื่นหลิงที่นี่หนาแน่นกว่าภายนอกหลายสิบเท่า หากพวกเขาสามารถฝึกยุทธ์ได้ที่นี่ ความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างเป็นสถานที่ฝึกยุทธ์ที่ดีนัก!”
มู่เฉินก็อุทานขณะที่กวาดสายตาไป เขาเห็นแท่นหยกสีขาวรอบๆ แม่น้ำที่ปกคลุมไปด้วยแสงหลิงที่ไร้ขอบเขต
มีเงาร่างมากมายอยู่บนนั้น
ฟิ้ว!
ในระยะไกลลำแสงสองสายทะยานเข้ามาที่เบื้องหน้ากลุ่ม ภาพหญิงสาวทรงเสน่ห์สองคนเผยออกมา คนหนึ่งมีรัศมีเย็นชา ส่วนอีกคนอ่อนโยนสดใส
ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน นี่ก็คือถังปิงและถังโหยว
“คารวะท่านประมุขและท่านมั่นถั่วหลัว!” ถังปิงและถังโหยวกล่าวด้วยเสียงเคารพ
แต่เมื่อพวกนางกำลังจะโค้งคำนับก็ถูกหยุดไว้ด้วยพลังอ่อนโยน มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรารู้จักกันมานาน ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนี้”
ย้อนกลับไปตอนนั้นทั้งถังปิงและถังโหยวก็ดูแลเขาตั้งแต่เข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์ในฐานะแม่ทัพตัวน้อย เพราะพวกนางเขาจึงสามารถผงาดขึ้นท่ามกลางหอวิหคโลกันตร์และอาณาเขตกงเวทสวรรค์
พอเห็นรอยยิ้มคุ้นเคยบนใบหน้ามู่เฉิน ร่างกายที่ตึงเครียดของถังปิงและถังโหยวก็คลายลง ดูเหมือนแม้ว่ามู่เฉินจะมีสถานะใหม่ แต่เขาก็คือมู่เฉินคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ตอนนี้ถังปิงและถังโหยวเป็นผู้ดูแลตำหนักมู่ กิจการภายในหลายอย่างอยู่ภายใต้การกำกับของพวกนางเช่นป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ เป็นสิ่งร้อนแรงที่สุดในภูมิภาคทางเหนือตอนนี้” มั่นถัวหลัวยิ้ม
“ป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์?” มู่เฉินอึ้งไป
“ทะเลสาบสวรรค์เป็นสถานที่เพาะบ่มที่หาได้ยากในภายนอก ดังนั้นเพื่อให้รางวัลและจูงใจจอมยุทธ์ของตำหนักมู่ เราได้วางกฎไว้ว่าทุกเมืองภายใต้การปกครองจะได้รับป้ายยุทธ์ในจำนวนหนึ่งต่อปีตามผลงานที่ทำไว้และทุกป้ายสามารถส่งจอมยุทธ์คนหนึ่งมาฝึกฝนที่นี่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี” มั่นถัวหลัวอธิบาย
“ตอนนี้ทุกคนทำงานอย่างหนักเพื่อรับป้ายยุทธ์ไป”
มู่เฉินเต็มไปด้วยการสรรเสริญเมื่อได้ยิน นั่นหมายความว่าพวกเขาเพิ่มความน่าสนใจมากล้นของทะเลสาบสวรรค์ มิหนำซ้ำยังดึงดูดจอมยุทธ์ให้เข้าร่วมกับตำหนักมู่ในระยะยาว
“สุดยอด” มู่เฉินยกนิ้วหัวแม่มือให้ถังปิงและถังโหยว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังปิง ขณะที่ใบหน้าของถังโหยวแดงซ่านมือไม้บิดมุมเสื้อผ้าจนม้วนต้วนไปหมด
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองทุกคนที่ฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ตำหนักมู่เจริญรุ่งเรืองเต็มไปด้วยพลังชีวิต เพียงรอแค่โอกาสหนึ่ง ตำหนักมู่ก็จะสามารถเติบโตขึ้นกว่านี้แน่นอน
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไป สายตาเบนไปทางมั่นถัวหลัวพูดขึ้นว่า “ช่วยข้าดูแลพี่หลิงซีกับคนอื่นๆ ด้วย”
เมื่อบอกเสร็จ ร่างก็หายไป มั่นถัวหลัวเฝ้ามองภาพนี้อย่างครุ่นคิด
นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงคำเรียกคลุมเครือและคุ้นเคย ซึ่งดูเหมือนจะมาจากหอคัมภีร์เทพซ่อนของวังสวรรค์บรรพกาลนี้…