หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1355 ข้อแลกเปลี่ยนกับหอคัมภีร์เทพซ่อน
มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
พริบตามุมมองก็สว่างขึ้นกลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมกับดาวหางนับไม่ถ้วนบินผ่านทิ้งหางยาวเอาไว้
มู่เฉินรู้ดีว่าในดาวหางเหล่านั้นจะต้องวิชาเทพพิเศษ ทักษะการเพาะบ่ม หรือแม้กระทั่งร่างเทห์สวรรค์
สายตาเขาจ้องมองไปที่มิติเบื้องหน้าด้วยความสงสัย เขารู้สึกได้ถึงการเรียกของหอคัมภีร์เทพซ่อน จึงได้ติดตามคลื่นความผันผวนมา
อย่างไรก็ตามหอคัมภีร์เทพซ่อนมักหลบอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลและจะปรากฏเฉพาะเมื่อพบผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับโชค
แต่ตัวเขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าทำไมหอคัมภีร์เทพซ่อนจึงเรียกเขาในครั้งนี้
ขณะที่เขารู้สึกสับสน มิติก็บิดเบี้ยวข้อความโบราณปรากฏที่เบื้องหน้า
“เจ้ามีวิชาเทพที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกของข้า”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อมองคำพูดเหล่านั้น ที่แท้เขามีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจ แต่ตัวมันก็มีวิทยายุทธชั้นยอดตั้งมากมายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองจะต้องไม่ธรรมดา
บนตัวเขาสิ่งที่ทำให้หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจได้มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…
“วิชาเจดีย์แปดองค์…”
ไม่ช้ามู่เฉินก็หาเหตุผลได้ เขาเลิกคิ้วพลางยิ้ม “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”
หอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ธรรมดา มีสติปัญญาไม่แพ้ใคร มันต้องการจะรวบรวมวิทยายุทธเทพทรงพลังทุกประเภททั่วสากลจักรวาล
“เก็บสะสม” คำโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่งมู่เฉินก็พูดว่า “ก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสม วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ ซึ่งไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าวิชาสามพิสทุธิ์ ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับมูลค่าดี”
มู่เฉินไม่ได้ยึกยักกับหอคัมภีร์เทพซ่อน เนื่องจากเขารู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่วิธีการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่ได้รับการขัดเกลาโดยผู้อาวุโสฝูถู
นั่นเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการปลอมแปลงไข่มุกเหล่านั้นก็คือราชันปีศาจ
ไม่มีราชันปีศาจมากพอที่จะถูกใช้เป็นวัสดุในมหาพันภพ นอกจากนี้ยังมีโอกาสล้มเหลวสูงและเป็นไปได้ที่จะมือเปล่ากลับมา
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่จะส่งวิธีฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ไว้กับหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาครอบครองวังสวรรค์บรรพกาลและหอคัมภีร์เทพซ่อนก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจากมุมมองหนึ่งก็เหมือนเขาส่งของจากมือซ้ายไปยังมือขวาเท่านั้น
เพียงแต่ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนแปลกประหลาด แม้ในฐานะเจ้าวังโบราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควบคุมมัน
ดังนั้นเขาจะดีใจมากถ้าสามารถแลกเปลี่ยนวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อสิ่งที่มีค่า
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เงียบไป มู่เฉินยิ้มไม่ได้รีบร้อน คิดจะเอาวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเปล่าๆ มีเรื่องง่ายขนาดนี้ซะที่ไหน?
แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนนี้จะถือว่าเป็นของเขาก็ตาม
หลังจากเงียบไปครึ่งก้านธูปคำพูดโบราณก็ขยับวูบไหวอีกครั้ง “ตามมูลค่า เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไป”
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” ดวงตาของมู่เฉินสว่างขึ้น ตามที่เขาคาดไว้มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเก็บอยู่ภายในหอคัมภีร์เทพซ่อน ทว่าเขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิชาหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานหรือธรรมดาสามัญ หากเป็นสิ่งแรกเขาก็ทำกำไรได้มหาศาลแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงถามตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว “แบบธรรมดา”
มุมปากของมู่เฉินบิดเบ้ หอคัมภีร์เทพซ่อนขี้งกซะจริง คิดจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดธรรมดามาแลกเปลี่ยนกับวิชาเจดีย์แปดองค์ของเขา? หรือว่ามันจะรู้เรื่องที่แก่นแท้ของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่วิธีฝึกฝน?
“ทางที่สองล่ะ?”
มู่เฉินถาม ถ้าเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบสามัญ ถึงแม้ว่าจะน่าดึงดูด แต่เขาก็ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะเขาเพิ่งได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์มา
“ทางที่สองแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจในวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง”
ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็ง ความเข้าใจวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง?
เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็รู้ว่ามีสามขั้นตอนคือสามแยก สามรวมและสามพิสุทธิ์
แม้จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน แต่เขาก็ยังติดอยู่ในขั้นแรกคือสามแยก สำหรับสามรวมยังไม่มีแนวคิดอะไรเลย
วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สำคัญที่สุดของมู่เฉิน นอกจากนี้ก็จะมีพลังมากขึ้นเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน
ดังนั้นถ้าเขาสามารถพัฒนาวิชาสามพิสุทธิ์ให้ถึงขั้นสองได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจแน่นอน
เขาก็อยากทราบถึงพลังของสามรวม
เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้า “ข้าเลือกทางที่สอง!”
เมื่อเทียบกับความพยายามในการเรียนรู้วิชาใหม่ เขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีอยู่ให้พัฒนามากขึ้นจะดีกว่า
ขณะที่มู่เฉินพยักหน้าสภาพแวดล้อมก็เริ่มเปลี่ยนไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเริ่มถอยห่าง ใบไม้สีทองปูพรมบนพื้น ต้นไม้ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนถูกสลักด้วยลวดลายนับไม่ถ้วนที่วูบไหว ให้ความรู้สึกถึงความมีสติปัญญา
ใต้ต้นไม้โบราณทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นเงา
“ท่านอาจารย์?” มู่เฉินอุทานเมื่อเห็นร่างคุ้นเคย นี่คือจักรพรรดิฟ้าที่เขาเคยพบมาก่อน
แต่จักรพรรดิฟ้าไม่ได้หายไปจากโลกแล้วหรือ? ทำไมเขาถึงมาที่นี่?
ขณะที่มู่เฉินงงงวย ภาพเงาของจักรพรรดิฟ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้โบราณก็ยิ้มให้ก่อนจะโบกมือเรียกมู่เฉินเข้ามายืนใต้ต้นไม้
จักรพรรดิฟ้านั่งลง ก่อนที่จะชี้ไปที่พื้นบอกให้มู่เฉินนั่งด้วย
จากนั้นมือของจักรพรรดิฟ้าก็เริ่มสร้างตราประทับ มิติรอบตัวบิดเบี้ยว เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือจักรพรรดิฟ้าชุดขาวและชุดดำ
นี่คือวิชาสามพิสุทธิ์!
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์ ‘นี่ไม่น่าใช่จักรพรรดิฟ้า แต่เป็นภาพประทับที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังฝึกฝนวิชา ซึ่งได้รับการเก็บบันทึกไว้ในหอคัมภีร์เทพซ่อน’
ร่างรองทั้งสองนั่งลงพลางหลับตาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป
ร่างหลักของจักรพรรดิฟ้าพยักหน้าไปทางมู่เฉิน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะวาดตราประทับเรียกมู่เฉินชุดดำและชุดขาวออกมานั่งอยู่เบื้องหน้าร่างรองทั้งสองของจักรพรรดิฟ้า
ใต้ต้นไม้สีทองเงาร่างหกร่างหันหน้าเข้าหากัน มู่เฉินทั้งสามยื่นมือออกมาประสานกับจักรพรรดิฟ้าทั้งสาม
ตู้ม!
จังหวะที่ฝ่ามือสัมผัสกัน จิตของมู่เฉินก็สั่นไหว นี่เป็นเหมือนบทสวดมนต์ ข้อมูลไร้ขอบเขตกำลังไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของเขา
ชิ้นส่วนข้อมูลเหล่านั้นเป็นฉากๆ ทั้งหมดนี้เป็นภาพการฝึกฝนของจักรพรรดิฟ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกภาพบรรจุแน่นด้วยความเข้าใจของเขา
มู่เฉินกวาดสายตาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะจมลงไปในฉาก ปัญหาคอขวดที่เขาเคยพบตอนฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็เปิดขึ้น ทำให้เขารู้แจ้ง
เขารู้ดีว่าช่วงเวลานี้มีค่าเพียงใด เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่ความเข้าใจ ด้วยความช่วยเหลือนี้เขาจะสามารถทดลองและสรุปขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ได้ …
มู่เฉินและร่างรองทั้งสองเปล่งแสงหลิงออกมาอย่างแผ่วเบา แสงทั้งสามสายเริ่มพันกันกลายเป็นเส้นเชื่อมโยงทั้งสามเข้าด้วยกัน…
สำนักเมฆาม่วง จักรวรรดิเหนือ
ใบหน้าของชายชราทั้งสามซีดเผือดอยู่ในห้องโถง ขณะที่แสงสีม่วงล้อมร่างพวกเขาพร้อมกับหมอกสีม่วงลอยอวลขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นไม่นานมือข้างหนึ่งก็ดึงออกจากแผ่นหลังของพวกเขา
“ท่านประมุข!”
พวกจื่อเทียนเปยหันหลังอย่างรวดเร็ว ก็เห็นชายที่มีใบหน้าขาวราวกับหยกยืนอยู่ข้างหลังโดยเอามือไพล่หลัง เขาสวมชุดคลุมสีม่วง กำจายแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้าน
ยามนี้ใบหน้าของชายชุดม่วงมืดครึ้มลงขณะเค้นเสียงเย็น “ช่างเป็นผนึกที่ครอบงำ”
เมื่อทั้งสามได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว “แม้แต่ประมุขก็ไม่สามารถทำลายผนึกได้เหรอ?”
ประมุขตำหนักมู่น่ากลัวมากถึงขนาดที่แม้แต่ประมุขของพวกเขาก็ไม่สามารถปลดผนึกได้?
ใบหน้าของประมุขสำนักเมฆาม่วงดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบเสียงเบา “ชายคนนั้นมีพลังผลึกที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าข้าทำลายด้วยความรุนแรง พวกเจ้าก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ผนึกนี้จะคงอยู่เพียงหนึ่งปีจากนั้นก็สลายหายไปตามธรรมชาติ”
ใบหน้าพวกจื่อเทียนเปยดูขมขื่นมาก แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าในหนึ่งปีต่อจากนี้ขุมพลังของพวกเขาจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้นรึ? ชายหนุ่มคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ถ้าพวกเขารู้เรื่องล่วงหน้าก็จะไม่ไปที่ตำหนักมู่หรอก…
เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ประมุขสำนักเมฆาม่วงก็ขมวดคิ้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เราประเมินตำหนักมู่ต่ำไป ไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีจอมยุทธ์หนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”
ดวงตาของจื่อเทียนเปยวาบไอเย็นชาขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุข ประมุขตำหนักมู่ยโสโอหัง ไม่เพียงแต่เขาทำลายสารสำนักเมฆาม่วง ได้ข่าวว่ายังมีความตั้งใจที่จะคว้าตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือเพื่อยืนอยู่ในระดับเดียวกับสำนักเมฆาม่วงของเรา!”
ดวงตาของประมุขเมฆาม่วงหรี่ลงพลางหัวเราะเยาะ “เพ้อฝันซะจริง!”
ตอนนี้จักรวรรดิเหนือแบ่งออกโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลงยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการเทียบเคียงก็ต้องยึดดินแดนบางส่วนจากสามขั้วอำนาจใหญ่
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทั้งสามขั้วอำนาจจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น
เพียงแค่คิดแสงสีม่วงก็วูบไหวในดวงตาของประมุขเมฆาม่วง “ในเมื่อตำหนักมู่ของเจ้าเด็กนั่นทะเยอทะยานมากนัก ข้าจะส่งคำเชิญให้เขาสำหรับการประชุมจักรวรรดิเหนือ ข้าจะขอดูว่าเขามีความสามารถในการฉกฉวยจากเราหรือไม่!”
สถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือถูกกำหนดไว้แล้ว หากตำหนักมู่คิดว่าสามารถทำลายสถานการณ์นี้และแทรกแซงได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้ประมุขตำหนักมู่รู้ว่าความทะเยอทะยานอันเย่อหยิ่งไร้เดียงสาเพียงใด!