หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1356 การประชุมมาถึง
บรรยากาศในภูมิภาคทางเหนือรื่นเริงและร้อนแรง
เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่เฉินประมุขผู้ลึกลับของตำหนักมู่บวกกับความทะเยอทะยานที่มีที่จะให้ตำหนักมู่กลายเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ
ความทะเยอทะยานของเขานี้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ความโกลาหลเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
เมืองหนึ่งในภูมิภาคเหนือ
โรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองนี้กำจายบรรยากาศคุกรุ่น เนื่องจากความร้อนแรงทั่วภูมิภาค
ประเด็นร้อนแรงที่พูดถึงเกี่ยวกับความตั้งใจของตำหนักมู่ในการเป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิทางเหนือ…
“หึ ข้าว่าประมุขมู่หยิ่งผยองเกินไป จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่และน้ำนิ่งไหลลึกนัก แม้ว่าตำหนักมู่จะรวบรวมภูมิภาคทางเหนือไว้เป็นหนึ่งเดียว แต่ก็มีพลังในระดับกลางเท่านั้นย่อมไม่สามารถแข่งขันกับขั้วอำนาจทั้งสามได้!”
“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าความโกรธของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจะทำให้พื้นที่ภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดกลายเป็นแม่น้ำเลือด!”
“เอ… แม้ว่าประมุขมู่ของเราจะอายุน้อย แต่เขาก็มีพรสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสสามคนของสำนักเมฆาม่วงแสดงอำนาจบาตรใหญ่เพื่อข่มตำหนักมู่ แต่พวกเขาก็ถูกจัดการโดยท่านประมุขอย่างง่ายดายตามความคิดของข้าพลังของประมุขไม่ได้ด้อยไปกว่าประมุขทั้งสามเลย!”
“เจ้าพูดถูก ด้วยความสามารถของประมุข ตำหนักมู่ของเราก็ไม่จำเป็นต้องลดระดับตนเองลง ต่อให้ต้องสู้กันแล้วไง ข้ายิ่งกังวลว่าผลงานจะไม่พอให้ได้รับป้ายยุทธ์ทะเลสาบสวรรค์ในปีอยู่เลย”
“ทะเลสาบสวรรค์เป็นของดีแท้จริง มีข่าวลือว่าที่นั่นเป็นดินแดนฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ที่วังโบราณทิ้งไว้ ข้าเคยได้ยินว่ามีหอคัมภีร์เทพซ่อนอยู่ภายในด้วย ถ้ามีโชคชะตาได้เข้าไปในนั้น สามารถได้รับกระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็มเลย!”
“เฮ้ แม้ว่าจะของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะเพลิดเพลิน พลังที่อยู่เบื้องหลังทั้งสามขั้วอำนาจคือขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ ต่อให้ประมุขมู่จะประสบความสำเร็จ แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานหากทำให้ขั้วอำนาจเหล่านั้นโกรธ”
“เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของตนเอง ประมุขมู่นำภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดไปพร้อมกันนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”
“…”
บทสนทนาหลากประเภทกระจายในโรงเตี๊ยม
ที่มุมหนึ่งมั่นถัวหลัวนั่งฟังการพูดคุยเหล่านั้นอย่างสงบ ด้านข้างเทียนจิ้ว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น
“ท่านมั่นถัวหลัวทั่วทั้งภูมิภาคทางเหนือกำลังคุยกันเรื่องนี้และก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ… ซึ่งดูแล้วเหมือนจะไม่ถูกต้อง” เทียนจิ้วเอ่ย
ช่วงเวลานี้การสนทนาราวกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่ว ความเร็วก็นับว่าผิดปกติไปหลายส่วน
ดวงตาของมั่วถัวหลัวกะพริบวูบไหว “เจ้ากำลังบอกว่ามีใครอยู่เบื้องหลังรึ?”
เทียนจิ้วพยักหน้า “ข้ากลัวว่ามีคนพยายามใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ผู้คนภูมิภาคทางเหนือเกิดความหวั่นไหว”
“กลยุทธ์ของสำนักเมฆาม่วง”
มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ นางรับรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เมื่อเร็วๆ นี้มีสมาชิกจากสำนักเมฆาม่วงแฝงตัวเข้ามาในภูมิภาคทางเหนือและโหมกระพือข่าวลือไปทั่ว
แม้ว่าจะไม่สามารถสั่นคลอนรากฐานของตำหนักมู่ได้ แต่ก็นับว่าน่ารังเกียจ นอกจากนี้หากตำหนักมู่กลับมามือเปล่าจากการประชุมจักรวรรดิเหนือ ก็อาจทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของตำหนักมู่ลดลงอย่างมีนัย ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคทางเหนือแตกแยกกันได้
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็อาจมีขั้วอำนาจมากมายคอยจับตาดู เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลของตำหนักมู่ได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย
“หน้าด้าน” หลิ่วเทียนเต้าสบถ พวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักมู่ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องแค้นเคืองกับการกระทำที่บ้าบอของสำนักเมฆาม่วง
มั่นถัวหลัวโบกมือพูดอย่างเย็นชาว่า “ออกคำสั่งตรวจสอบเมืองทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือ หากเจอใครที่มาจากสำนักเมฆาม่วงพยายามที่จะโน้มน้าวผู้คนในภูมิภาคทางเหนือ ก็ให้จับกุมและ…”
นางวาดมือออกไปเบาๆ พร้อมกับรัศมีเย็นเยือก
ในเมื่อสำนักเมฆาม่วงต้องการเล่นแง่ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ตำหนักมู่ต้องสุภาพ มาเท่าไรก็จัดการให้เรียบ
หัวใจของพวกหลิ่วเทียนเต้าสั่นไหวเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าครั้งนี้มั่นถัวหลัวจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้ว
“ในเมื่อมู่เฉินต้องการให้ตำหนักมู่เป็นหนึ่งในเจ้าจักรวรรดิเหนือ เราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ แม้ว่าพวกการต่อสู้ชั้นแนวหน้าต้องให้เขาเป็นคนไปจัดการ แต่เรื่องกลยุทธ์ลับหลังเราสามารถช่วยแบ่งเบาได้ ไม่งั้นตำหนักมู่เลี้ยงสมาชิกไว้เยอะขนาดนี้เพื่ออะไรกันล่ะ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยเบาๆ
“รับทราบ!”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่หลิ่วเทียนเต้าก็อดถามไม่ได้ “ท่านมั่นถัวหลัว ท่านคิดว่าประมุขจะสามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์อย่างเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองได้จริงหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่คนผ่านศึกโชกโชนอย่างหลิ่วเทียนเต้าก็ยังกังวลเกี่ยวกับการประชุมที่กำลังจะมาถึง ถึงยังไงสามคนนั่นก็เป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน ชื่อเสียงของพวกเขาได้รับการสลักไว้อย่างลึกซึ้งในหัวใจของทุกคนในจักรวรรดิเหนือ
แม้ว่ามู่เฉินทรงพลังอีกหลายส่วนหลังจากกลับมา แต่ชื่อเสียงก็ยังด้อยกว่าพวกเก่าแก่ที่อยู่ในจักรวรรดิเหนือมาเป็นเวลานาน
มั่นถัวหลัวที่ได้ยินก็หันไปมองหลิ่วเทียนเต้า
อีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาช้าๆ “ท่านมั่นถัวหลัว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในตัวประมุข แต่เรื่องนี้สำคัญมากกับการที่ตำหนักมู่จะทะยานหรือดับวูบก็ต้องอาศัยสิ่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะกังวล”
มั่นถัวหลัวไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะนี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของมู่เฉินอยู่เหมือนกัน ขณะที่ชื่อเสียงของประมุขทั้งสามเลื่องลือในจักรวรรดิทางเหนือมาเนิ่นนาน ในอดีตก็มีขั้วอำนาจอื่นพยายามที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่มีใครประสบผลสำเร็จ…
ดังนั้นในภูมิภาคทางเหนือนอกจากนางแล้ว คงไม่มีใครมั่นใจว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้
นี่เป็นการเดิมพันของมู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาสามารถทำลายสถานการณ์ระหว่างสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองได้อย่างแท้จริง ตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวของจักรวรรดิเหนือ
ในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมตำหนักมู่อาจสามารถปกครองกระทั่งทวีปเทียนหลัว เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่กลายเป็นเพชรยอดคทาในมหาพันภพ
แน่นอนว่าถ้ามู่เฉินถูกหยุดโดยประมุขทั้งสามในการประชุม ตำหนักมู่ต้องกลับมาอย่างสูญเปล่า นี่จะเป็นการระเบิดอย่างมีนัยสำคัญต่อขวัญกำลังใจของตำหนักมู่ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายล้าง ในเวลานั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็จะเข้ามารุมทึ้ง เพราะพวกเขาต่างหวังจะครอบครองวังสวรรค์บรรพกาล
ภายใต้การขัดขวางมีโอกาสสูงที่ตำหนักมู่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ
นี่เป็นผลที่ร้ายแรงซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกหลิ่วเทียนเต้ารู้สึกกังวล
ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ปลอบใจพวกเขามาก กลับมีรอยยิ้มจางบางปรากฏขึ้น “พวกเจ้าจะคิดอย่างไรข้าบังคับอะไรไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่ามู่เฉินเป็นคนที่จักรพรรดิฟ้าเลือก ขณะเดียวกันแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังยอมรับในตัวเขา ยอมที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา…”
“พวกเจ้าคิดว่าสายตาของตัวเองเทียบกับสามคนนั่นแล้วเป็นเช่นไร?”
ทิ้งประโยคนี้ไว้นางก็โบกมือจากไป
คนอื่นๆ สบสายตากัน ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจและรู้สึกโล่งอกในใจ จักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมีใครที่ไม่ใช่ยอดยุทธ์? พวกเขามองการณ์ไกลแค่ไหน มิหนำซ้ำยังมีทัศนคติที่ดีกับมู่เฉิน ดังนั้นนั่นจึงบ่งบอกถึงศักยภาพที่ประมุขของพวกเขามี
การมีเจ้านายเช่นนี้ ในอนาคตพวกเขาจะไม่ต้องเสียใจ ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามและพยายามช่วยเหลือสุดกำลัง
เวลาผ่านไปในภูมิภาคทางเหนือ
บรรยากาศก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการประชุมจักรวรรดิเหนือที่จะเกิดขึ้น ทว่าจากการกระทำแบบลับๆ ของมั่นถัวหลัวก็ส่งผลให้ขวัญกำลังใจในตำหนักมู่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่พยายามเผยแพร่ข่าวลือสลายกลายเป็นอากาศธาตุจนหมดสิ้น
ทว่านี่ก็เป็นเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น สำหรับจักรวรรดิเหนือหลายคนเฝ้าดูจากข้างสนามด้วยความสงสารและเยาะเย้ย
ท้ายที่สุดแล้วภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมด ที่นั่นทั้งวุ่นวายและยุ่งเหยิงไร้ความสามัคคี ตอนนี้เพิ่งจะรวมเป็นหนึ่งเดียวก็มีผู้ปกครองใหม่ที่หยิ่งผยองต้องการท้าทายอำนาจของสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง…
ในอดีตขั้วอำนาจที่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้จะถูกลบล้างไปตามกาลเวลา
ดังนั้นจากมุมมองของพวกเขาตำหนักมู่ก็จะกลายเป็นตัวตลกในการประชุมจักรวรรดิเหนือ…
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เวลาก็เข้าใกล้การเปิดสภาจักรวรรดิเหนือ
ตำหนักมู่ ภูมิภาคทางเหนือ
กองบัญชาการใหญ่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมายที่มารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือความมีชีวิตชีวาของตำหนักมู่ในปัจจุบัน
ด้านนอกโถงมั่นถัวหลัวมองความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ก่อนที่จะหันไปมองไปยังทิศทางของวังโบราณคิ้วของนางขมวดเป็นปมอย่างกังวล
มู่เฉินยังไม่ออกมาเลยนับตั้งแต่เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน
แต่วันนี้ถึงเวลาที่ต้องไปยังสภาจักรวรรดิเหนือ ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ถ้ามู่เฉินไม่แสดงตัวนี่จะเป็นเรื่องตลก ขวัญกำลังใจทั้งหมดที่ทุกคนรวบรวมมาตลอดเดือนที่ผ่านมาจะพังทลายเป็นอากาศธาตุ
“เจ้านั่น!”
มั่นถัวหลัวกำมือแน่นพลางกัดฟัน
แต่ยามนี้นางไม่สามารถแสดงความกังวลใดๆ นางได้แต่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ห้อยอยู่บนท้องฟ้า จอมยุทธ์ที่มารวมตัวกันก็เริ่มกระซิบกระซาบเนื่องจากมู่เฉินยังไม่ปรากฏตัว
เมื่อเห็นหัวใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอน มั่นถัวหลัวก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่คิดจะพูดปลอบใจ มิติก็ผันผวนอยู่ข้างๆ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์จะเดินออกมาภายใต้สายตาของทุกคน
“คารวะท่านประมุข!”
เมื่อภาพเงานั้นปรากฏขึ้น เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังต้อนรับการมาถึงของเขา
เมื่อมองไปที่กองทัพใหญ่มู่เฉินก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ พร้อมกับเสียงสะท้อนระหว่างฟ้าดิน
“เคลื่อนพล!”