หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1357 ที่ราบเป่ยยู่
จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่ไพศาล
เกือบแปดส่วนของดินแดนถูกแบ่งโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง เหลือเพียงภูมิภาคทางเหนือถือครองดินแดนอีกสองส่วนที่เหลือ
แน่นอนว่าสาเหตุที่ภูมิภาคทางเหนือตั้งตนเป็นอิสระได้นั้น เนื่องมาจากอยู่ห่างไกลและทรัพยากรก็ถือว่าดาษดื่น ดังนั้นผู้นำทั้งสามก็เลยไม่ได้ทิ้งสายตามามองมากเท่าไร
แต่ความสงบก็จบลง หลังจากที่ตำหนักมู่รวมดินแดนเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ตำหนักมู่ยังเป็นผู้สืบทอดวังสวรรค์บรรพกาล ตอนแรกอาจยังปิดบังไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นในภูมิภาคทางเหนือรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลก็ถูกส่งต่อไปสามขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่
วังสวรรค์บรรพกาลเคยเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนเพาะบ่มพลังยุทธ์ที่หายากในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาได้รับมาก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมาก
สาเหตุที่ตำหนักมู่สามารถขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วและดึงดูดจอมยุทธ์จำนวนมากก็เนื่องจากการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาลนั่นเอง
ดังนั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจึงให้ความสนใจวังสวรรค์บรรพกาลและกำลังมองหาโอกาสที่จะกลืนตำหนักมู่และรับวังโบราณไป
ตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเหนือ ที่ราบเป่ยยู่
ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้เลื่องลือในจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากที่ราบนี้เป็นจุดตัดระหว่าง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง
เป็นเพราะภูมิประเทศนี้ทำให้การประชุมของจักรวรรดิเหนือถูกจัดขึ้นที่นี่
ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ที่ราบเป่ยยู่คึกคัก โดยขั้วอำนาจเกือบแปดส่วนมารวมตัวกัน
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสง ความผันผวนของคลื่นหลิงทำให้ผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึง
ซึ่งรวมถึงตัวมู่เฉินด้วยเช่นกัน
มู่เฉินมองที่ราบอันกว้างใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของคลื่นหลิงมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในช่วงเวลาสั้นๆ แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
“ข้าเกรงว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในจักรวรรดิเหนือคงมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากตระการตานี้
“การประชุมสภาจักรวรรดิเหนือเป็นการตัดสินเกี่ยวกับเจ้าเหนือหัว ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากพลาด” มั่นถัวหลัวบอกกล่าวที่ด้านข้างมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า เขาสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นแสงที่ทะยานมาจากทุกทิศทางก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงสู่ที่ราบกว้างใหญ่
“เห็นเครื่องหมายบนแขนจอมยุทธ์เหล่านั้นไหม?” ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็พูดขึ้น
ดวงตาของมู่เฉินหดลงก่อนที่จะพยักหน้า เขามองเห็นแทบทุกขั้วอำนาจจะมีเครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์บนแขน
“ผ้าสีม่วงแปลว่าอยู่ใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วง สีเทาคือภูเขาเหลยยิง และสีทองคือคฤหาสน์อินทรีทอง”
“เฉพาะคนที่มีผ้าพันที่แขนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ได้ มิฉะนั้นขั้วอำนาจใดที่ก้าวเข้ามาโดยไม่มีผ้าพันที่แขนก็หมายความว่าพวกเขาตั้งใจที่จะต่อสู้กับยักษ์ทั้งสามนี้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าเราจะไปต่อได้ยาก” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ
“โอ้? พวกเขาจะขัดขวางเราเรอะ?” มู่เฉินหรี่ตาลง
“ตามกฎของจักรวรรดิเหนือ หากขั้วอำนาจใหม่ตั้งใจที่จะแข่งขันกับทั้งสามเพื่อชิงอำนาจ ก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือการต่อสู้จากขอบที่ราบเป่ยยู่เข้าสู่ใจกลาง หากสามารถยืนหยัดที่ศูนย์กลางได้ก็จะสิทธิ์แข่งขันกับพวกเขา”
“ในอดีตมีสองขั้วอำนาจทรงพลังที่ตั้งใจจะเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลยเมื่อก้าวเข้าไป กลุ่มของพวกเขาสลายหายไปในที่สุด…”
มู่เฉินตอบ “ฟังดูโหดไปหน่อยแฮะ”
“ในโลกนี้ พลังคือผู้ตัดสิน หากไม่มีพลังเพียงพอก็จะถูกกลืนถ้าคิดแหย่มือไปกวนเรื่องนี้”
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินถามว่า “ดังนั้นเจ้าพร้อมหรือยัง? ถ้าล้มเหลวสองขั้วอำนาจนั่นก็คือตัวอย่างของพวกเรา”
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปมองภาพเงาหลายสิบคน ทุกคนที่ได้ติดตามเขามาที่นี่ก็คือจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนแล้วทั้งสิ้น
เวลานี้จอมยุทธ์ตำหนักมู่กำลังมองที่ประมุขด้วยสายตาร้อนแรงโดยไม่มีความกลัว
“ถ้าทุกคนเชื่อมั่นว่าข้าสามารถนำพาพวกเจ้าออกไปได้ ก็จงตามข้ามา”
มู่เฉินยิ้มให้พรรคพวก เขาไม่ได้พูดคำปลุกขวัญใดๆ เพียงโบกมือทะยานเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่
หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงติดตามไปโดยไม่ลังเล
สำหรับคนอื่นๆ จำนวนพวกเขาดูน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเทียบกับคนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันในที่ราบแห่งนี้
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกมั่นใจมากเมื่อมองภาพเงาอ่อนเยาว์ที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จากนั้นแต่ละคนก็ทะยานออกติดตามไป
เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักของตำหนักมู่ หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จินตนาการได้ว่าตำแหน่งของเขาจะมั่นคงแค่ไหนในฐานะประมุขตำหนักมู่
รอยยิ้มคลี่ออก นางก็ย่างกรายไปปรากฏตัวที่ด้านหลังมู่เฉิน
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ร่างแสงหลายสิบร่างจากตำหนักมู่พุ่งไปในที่ราบเป่ยยู่ จังหวะที่เข้ามาสายตาแหลมคมก็รวมตัวกันจากโดยรอบ
“ฮ่าๆ ตำหนักมู่แห่งภูมิภาคทางเหนือจริงด้วย!”
“พวกเขาช่างเป็นคนโง่เขลาที่กล้าหาญ คิดจะบุกเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่ด้วยคนจำนวนเท่านี้เรอะ? ข้าพนันว่าพวกเขาหมดแรงตายก่อนที่จะเข้าสู่ใจกลางที่ราบได้”
“นั่นที่อยู่ด้านหน้าประมุขตำหนักมู่ใช่ไหม? เขายังเด็กมากไม่น่าแปลกใจเลยที่หยิ่งยโสเหลือเกิน”
“แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนี้เขาจะหลงเหลือแต่กองกระดูกบนที่ราบแห่งนี้…”
“…”
เมื่อสมาชิกตำหนักมู่เข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ เสียงสนทนาก็ดังก้อง สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไว้หน้าตำหนักมู่มากนัก
สุดท้ายเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทุกคนที่ท้าทายศักดิ์ศรีของประมุขทั้งสามกลายเป็นปุ๋ยอยู่บนที่ราบเป่ยยู่แห่งนี้
การเดินหน้าท่ามกลางสายตามองมาด้วยความสงสาร ชัดว่าต้องการความกล้ามาก จอมยุทธ์หลายคนของตำหนักมู่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ติดตามร่างเบื้องหน้าที่ไม่รีบร้อนไปอย่างใกล้ชิด
มู่เฉินเดินนำหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับบ่อน้ำลึก แม้ว่าเสียงจะดังกระหึ่มมาจากรอบข้าง แต่เขาก็ไม่ถูกรบกวนจากสิ่งเหล่านี้
สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใจกลางที่ราบเท่านั้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่แผ่วเบาและลึกซึ้งสามสาย
คลื่นหลิงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้
“หยุด!”
แต่ในขณะที่มู่เฉินมองลึกเข้าไป เสียงตะโกนเย็นเยือกก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างเงาหลายสิบร่างจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเข้าขัดขวาง
หลายสิบร่างนั้นเปล่งความผันผวนรุนแรงพร้อมกับผ้าพันแขนสีม่วงปลิวไสว ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วงทั้งสิ้น
พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย โดยมีสองคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ชัดว่าความโกรธแค้นที่สำนักเมฆาม่วงมีต่อตำหนักมู่ ทำให้พวกเขารวบรวมจอมยุทธ์ออกมาโจมตี
ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการกีดขวาง รวมถึงความเร็วในการเดินหน้าด้วย
“ไอ้พวกหุ่นกระบอกบังอาจขวางทางนายน้อยของข้างั้นรึ? ไสหัวไป!”
หลงเซี่ยงตะโกนอย่างเย็นชาก่อนที่ร่างจะทะยานออกไปราวกับสายฟ้าพร้อมกับพลังที่น่าทึ่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยหมัดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
“อวดดี!”
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองเกรี้ยวกราด เคลื่อนออกมาขัดขวางหลงเซี่ยง
“ฮึ่ม!”
แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็กวาดเข้ามา ค่ายกลขนาดมหึมากางลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มพวกเขาไว้ ทันใดนั้นคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็รวมกันก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนพัดเข้าใส่ทั้งสองโดยกักขังเอาไว้ภายใน
ปัง ปัง ปัง!
สิบกว่าลมหายใจจอมยุทธ์สำนักเมฆาม่วงที่ขวางทางก็ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใต้หมัดของหลงเซี่ยง
มู่เฉินไม่ได้มองไปที่คนเหล่านั้นตั้งแต่เริ่มต้น เขายังคงเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าภายใต้สายตาตกตะลึงรอบด้าน
สายตาเขาจดจ้องไปที่ใจกลางอย่างไม่แยแส แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสามสำนักจะมารวมตัวกันที่นี่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขัดขวางเขา
เว้นแต่ทั้งสามคนนั่นจะลงมือเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องทำให้ตำหนักมู่ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อพรรคพวกที่ให้ความไว้วางใจหรือทรัพยากรมหาศาลในอนาคต…
เขาต้องได้รับตำแหน่งเจ้าเหนือหัวแห่งจักรวรรดิเหนือ!