หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1359 สำแดงอำนาจ
ลมเย็นเยือกกรูเข้ามาในที่ราบเป่ยยู่
ผู้คนนับไม่ถ้วนก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขารวมกันอยู่ที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ ความหนาวเย็นถึงได้พุ่งขึ้นสุดขั้วทำให้พวกเขาตัวสั่นสะท้าน
เบื้องหลังร่างเงาอ่อนเยาว์ ศพสองศพค่อยๆ เย็นชืดลง ไม่กี่อึดใจก่อนศพนั่นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวเป็นๆ อยู่เลยนะ!
แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ ยังถูกกระชากชีวิตออกไปอย่างง่ายดายโดยยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันแม้แต่ครั้งเดียวกับร่างเงาอ่อนเยาว์
พวกเขาไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ!
สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่มู่เฉิน ความกลัววูบไหวในดวงตาพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้เห็นกับตาพวกเขาถึงได้รู้ว่าเขาไม่ธรรมดาเพียงใด
“มิน่าตำหนักมู่ถึงคิดเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ความแข็งแกร่งนี้คงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าประมุขขั้วอำนาจทั้งสามเลย” มีคนพูดด้วยสีหน้าหนักใจ ดูเหมือนว่าจะเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ในที่ราบเป่ยยู่วันนี้แน่แล้ว
ท่ามกลางสายตาหวาดผวา มู่เฉินปัดมือเบาๆ ราวกับว่ากำลังสะบัดรอยเลือดที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่อยู่ในอาการตะลึงงัน “ยังไม่คิดจะเข้ามาพร้อมกันอีกเหรอ?”
นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรเมื่อก่อนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องท้าทายอีกต่อไป เขารู้สึกว่าแม้จะไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ มีเพียงแค่เจดีย์พุทธะและคลื่นหลิง เขาก็ไปไกลเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหลายขุมแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการปิดผนึกอันทรงพลังของเจดีย์พุทธะ เผชิญหน้ากับความสามารถในการปิดผนึกนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อ่อนปวกเปียกเหมือนลูกเจี๊ยบในสายตาของเขา
“กะ…แกกล้าฆ่าพวกเขาเหรอ!” ในที่สุดจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดก็หายจากอาการตกใจก่อนที่จะแผดเสียงลั่น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินจะเด็ดเดี่ยวและไร้ปรานีเช่นนี้
ทันทีที่เคลื่อนไหวเขาก็สังหารโดยไม่ลังเลใดๆ
นอกจากนี้สองคนที่เสียชีวิตก็อยู่สถานะรองจากผู้นำของขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามเท่านั้นซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูง พวกเขามีชื่อเสียงมากแม้แต่ในจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาถูกฆ่าในพริบตาเนี่ยนะ?
มู่เฉินยิ้มอ่อน “ไม่งั้นพวกแกคิดว่าตำหนักมู่ของข้ามาเล่นเหรอไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้นนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
มู่เฉินยิ้มออกมา ทำให้จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดหนาวสั่นไปถึงหัวใจ ราวกับว่าพวกมันถูกมองโดยยมทูตที่ทำเอารู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“วาบ!”
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะพูดมากนัก ร่างเขาหายไปอีกครั้ง ช่างคลุมเครือราวกับว่าลำแสงพร่าเลือนกำลังพุ่งผ่านมิติ
“โจมตีพร้อมกัน!” ทั้งเจ็ดร้องตะโกนด้วยความหวาดหวั่นบนใบหน้า
ตอนนี้พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่ามู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งผยองอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจะสามารถต้านทานปีศาจนี้ได้ก็ด้วยการร่วมมือกันเท่านั้น
ตู้ม ตู้ม!
ดังนั้นทั้งเจ็ดจึงเร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ เมื่อร่างมหึมาเจ็ดร่างปรากฏขึ้นก็กวาดพายุคลื่นหลิงไปทั่วบริเวณ
วาบ!
มู่เฉินไม่ได้หยุดชะงัก เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าร่างเทห์สวรรค์ร่างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออกไปตบลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย
เมื่อฝ่ามือกระแทกลง ผลึกแสงก็คลี่กระจาย ร่างเทห์สวรรค์ยิ่งใหญ่ก็แข็งทื่อ คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตจางลงอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ร่างขนาดใหญ่แตกสลายทันที เนื่องจากพลังงานที่อยู่ภายในถูกปิดผนึก ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป
เมื่อร่างเทห์สวรรค์แตกสลาย เงาน่าสมเพชก็ปลิวออกไป ความไม่เชื่อและตกใจฉายบนใบหน้าของเขา
เขาไม่คิดเลยว่าถึงแม้จะนำร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ยังไม่สามารถเผชิญกับมู่เฉินได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
ผลึกคลื่นหลิงผิดปกติบีบคั้นยิ่งนัก ทันทีที่สัมผัสกับร่างเทห์สวรรค์ก็จะปิดผนึกคลื่นหลิงและทำลายจากภายในสู่ภายนอก
แม้ว่าคนคนนั้นจะถอยไปอย่างรวดเร็ว แต่มู่เฉินก็เร็วกว่า ก่อนที่จอมยุทธ์คนอื่นๆ จะตอบสนอง เขาก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดซัดที่หน้าอกอย่างจัง
ปัง!
ผลึกแสงพุ่งออกมาบนหมัด เมื่อผลึกแสงสัมผัสกับจอมยุทธ์คนนั้นก็ทะลุทะลวงผ่านร่างไป จากนั้นคลื่นหลิงในร่างก็หรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว
“ระเบิด!”
มู่เฉินฉายท่าทางไม่แยแสพูดเบาๆ
ผลึกแสงราวกับหนามแหลมนับพันนับหมื่นระเบิดจากภายในร่างจอมยุทธ์โชคร้าย ร่างกายปริแตกออกมา
ผลึกแสงส่องประกายไปทุกอณู ด้วยคลื่นหลิงที่ถูกปิดผนึก ไม่ว่าพลังชีวิตของจอมยุทธ์คนนั้นจะทรงพลังมากเพียงใด ตราบใดที่สูญเสียคลิ่นหลิงไปเขาก็จะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดา
พริบตาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกคนก็ลาจากโลกนี้ไป
มู่เฉินไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เขาหลบเลี่ยงการโจมตีหลายกระบวนท่าที่เข้ามาในทิศทางของเขาก่อนที่จะทะยานเข้าใส่ร่างเทห์สวรรค์ร่างอื่น
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างความหายนะ ร่างขนาดใหญ่ทั้งหกก็กำจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พร้อมกับร่างเล็กจ้อยวูบวาบท่ามกลางพวกเขา
ทว่าเมื่อใดก็ตามที่ร่างนั้นวาบผ่าน ก็จะมีร่างมหึมาถอยกลับไป จากนั้นร่างเล็กก็จะคว้าโอกาสในเสี้ยวอึดใจโจมตีด้วยผลึกคลื่นหลิงทำลายร่างเทห์สวรรค์ แล้วเริ่มไล่ล่าคนที่อยู่ภายใน ทำให้ร่างแหลกสลายเป็นชิ้นๆ
คลื่นหลิงแผดเสียงตลอดเวลาทั่วทั้งฟ้าดิน สภาพแวดล้อมเงียบสงัดลง มีเพียงเสียงคนกลืนน้ำลายเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งคราว
สถานการณ์ตอนนี้ แม้จะดูเหมือนว่ามีหลายคนพุ่งเป้าไปที่มู่เฉิน แต่ทุกคนบอกได้ว่าจังหวะในการโจมตีของเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มวุ่นวายไปหมด ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาอัดแน่นด้วยความกลัว
เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมื่อมู่เฉินพบช่องโหว ผลลัพธ์ของพวกเขาก็จะเหมือนกับคนก่อนหน้านี้
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวเพียงใด หลังจากนั้นไม่กี่นาทีพวกเขาก็ตระหนักด้วยความสยดสยองว่าสหายรอบตัวลดลงเรื่อยๆ จำนวนของพวกเขาลดลงจากเจ็ดเหลือสี่คนแล้ว
นั่นหมายความว่าตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้มีสามคนลาลับเพิ่มอีก!
นอกจากนี้คู่ต่อสู้ของพวกเขายังไม่ได้นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาด้วยซ้ำ
ยามนี้สี่คนที่เหลือรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดในหัวใจ พวกเขาซึ้งแล้วว่าวันนี้ดันไปปะทะกับอสูรกายที่น่ากลัวเพียงใด
พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
“เผ่นเร็ว!”
จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขามอดดับ ทั้งสี่ถอยออกไปในเวลาเดียวกัน พวกเขารู้ว่าถ้ายังดันทุรังต่อไป พวกเขาคงตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด
“คิดหนีเหรอ? สายไปหน่อยมั้ง” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสี่ก็ยิ้มบางโดยไม่มีความอบอุ่นใดๆ ในรอยยิ้ม
เขารู้ดีว่าหากตำหนักมู่ต้องการผงาดขึ้น เขาก็จะต้องข่มขู่ผู้อื่นและตอนนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มฝูงหนึ่งก็ดันส่งตัวเองขึ้นเขียงมาเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
ร่างวูบไหวพริบตาก็ไล่ตามร่างใหญ่ทั้งสี่ไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ผลึกรวมอยู่ในฝ่ามือแฝงด้วยพลังที่ไม่สิ้นสุด
เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนน่ากลัวจากดวงอาทิตย์ผลึกใบหน้าของทั้งสี่ก็ซีดเผือด พวกเขาเลิกอายตะโกนลั่น “ท่านประมุขช่วยด้วย!”
เสียงของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิง สะท้อนออกไปทั่วฟ้าดิน
ตอนแรกพวกเขาไม่ต้องการขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวเสียหน้า แต่ตอนนี้พวกเขาไม่คิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เพราะหากยังไม่ขอความช่วยเหลือใดๆ พวกเขาคงจะถูกฝังอยู่ที่นี่
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง มู่เฉินก็ยิ้มไม่แยแสก่อนที่จะเร่งความเร็ว ดวงอาทิตย์ผลึกพุ่งเข้าหาทั้งสี่
“กล้าดียังไง!”
เมื่อดวงอาทิตย์ผลึกกำลังจะห่อหุ้มทั้งสี่ เสียงสามเสียงก็สะท้อนออกมาราวกับฟ้าร้องก้อง
ขณะเดียวกันร่างแสงสามร่างก็พุ่งผ่านมิติ พลิ้วลงมาด้วยคลื่นหลิงทรงพลัง ปะทะกับดวงอาทิตย์ผลึก
ปัง!
เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่น่ากลัวของทั้งสาม ดวงอาทิตย์ผลึกก็แตกออกทันที
แต่รอยยิ้มเย็นกลับปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉินก่อนที่จะสะบัดนิ้วออก
ฟิ้ว!
ผลึกแสงสี่สายกระจายออกจากดวงอาทิตย์ หลบลำแสงคลื่นหลิงทั้งสามยิงไปยังจอมยุทธ์สี่คนที่คลายความระวังหลังจากที่ได้รับการช่วยชีวิต
เมื่อผลึกแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา ท่าทางของพวกเขาก็แข็งค้าง ความกลัวพุ่งขึ้นบนใบหน้าขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายอ่อนลงด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
ปัง!
ร่างเทห์สวรรค์พังทลายลง เงาร่างทั้งสี่ถูกเผยออกมา แต่ละคนกระอักเลือดคำใหญ่ขณะที่ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือดอีกหลายคำ
จากสภาพแม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ราวกับตายไปครึ่งตัวแล้ว
ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเก้าคน ห้าคนตายคาที่ อีกสี่คนได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเพียงครึ่งก้านธูป
นอกจากนี้ที่สำคัญกระทั่งผู้นำสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองออกโรงยังไม่สามารถปกป้องสี่คนที่เหลือได้
ประมุขตำหนักมู่คนนี้น่ากลัวแค่ไหนกัน?
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินเหลือบมองไปที่จอมยุทธ์ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสี่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้รู้สึกปวดใจแล้วเรอะ?”
การสูญเสียจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสามขั้วอำนาจถือได้ว่าทำให้รากฐานพวกเขาสั่นคลอนไปหมดทีเดียว
เสียงหัวเราะสามเสียงดังก้องจากส่วนลึก แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่น่ากลัวในน้ำเสียงเหล่านั้น
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยว ทุกคนต้องตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาสามร่างย่างกรายออกมา
ทั้งสามเพียงแค่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเงียบๆ ก็ปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา ซึ่งเกินขอบเขตของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุด
มีร่องรอยของระดับเทียนจื้อจุนอยู่ภายในร่างกายพวกเขา
ยามนี้สายตาของมู่เฉินก็รวมอยู่ที่พวกเขา นอกเหนือจากเจ้าสำนักเมฆาสีม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง พวกเขาจะเป็นใครได้อีก?
“ในที่สุดก็ออกมาซะที…”