หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1360 สามผู้นำ
เมื่อเงาทั้งสามปรากฏขึ้นทั่วบริเวณก็เงียบลง
ทุกคนมองหน้ากันความหวาดกลัว
นั่นเป็นเพราะร่างเงาทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเหนือ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทั้งสาม
เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง
ทั้งสามมีชื่อก้องไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในจักรวรรดิเหนือพวกเขาคือผู้นำที่ไม่มีใครกล้าต่อกร
มู่เฉินมองไปที่ทั้งสาม คนทางซ้ายเป็นชายวัยกลางสวมชุดขาวพลิ้วไหวในอากาศ ท่าทางดูดี ทว่าม่านตาสีม่วงของเขาดูมีเสน่ห์จนไม่มีใครกล้าดูถูก
คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายหัวโล้นหูใหญ่สวมเสื้อคลุมสีเทา แขนเสื้อกว้างมากปลดปล่อยความผันผวนมิติเบาบางออกมา แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แต่คนที่มีประสาทสัมผัสว่องไวก็สามารถบอกได้ถึงความเย็นชาในดวงตาคู่นั้น
คนที่ยืนอยู่ทางขวาสวมชุดสีเทาและดูเคร่งขรึม จมูกแหลม ดวงตาทั้งสองแวววาวเป็นสีทองจางๆสายตาคมราวกับใบมีดที่ดูเหมือนว่าแทงทะลุหัวใจของคนอื่นได้
แต่ละคนปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังคล้ายคลึงกัน ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในฟ้าดินก็สงบลงเมื่อเข้าใกล้ตัวพวกเขา
การยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกว่าถ้าพวกเขาปลดปล่อยการโจมตี ก็เหมือนกับสวรรค์เปิดการโจมตีเอง
ความรู้สึกนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ผู้นำทั้งสามสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่าพวกเขาตอนนี้จะยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เมื่อคนอื่นๆ เทียบกับพวกเขาก็ราวกับหิ่งห้อยกับดวงจันทร์
มู่เฉินบดขยี้กลุ่มจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดายเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนก็สามารถทำได้เช่นกัน
มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็มาปรากฏตัวเคียงข้างมู่เฉิน แต่ละคนมองไปที่ร่างเงาทั้งสามด้วยความระวัง
“ทั้งสามคนนั้นสมกับเป็นเจ้าเหนือหัวอย่างแท้จริง พวกเขามีความสามารถเกือบจะอยู่ในระดับสี่จอมพลของวังสรรค์บรรพกาลแล้ว” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่เฉินฉายสีหน้าตกใจถามด้วยความประหลาดใจว่า “จอมพลทั้งสี่ของวังสวรคค์บรรพกาลก็สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วเหรอ?”
เขาคิดมาตลอดว่าจอมพลเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น
มั่นถัวหลัวกลอกตาก่อนที่จะตอบว่า “ยังไงพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้รับการฝึกฝนจากจักรพรรดิฟ้า หากไม่ใช่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกโจมตีตั้งแต่ที่วังสวรรค์บรรพกาลยังก่อตั้งไม่นาน พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้แน่”
มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขามีจักรพรรดิฟ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทว่าพลังการต่อสู้ภายใต้กลับอ่อนแอกว่าปกติ
หากจอมพลทั้งสี่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา จากสถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือในปัจจุบัน พวกเขาคงไม่สามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนก็แข็งแกร่งเพียงพอ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิฟ้าแล้ว พวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป
“ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่ใช่บุคคลที่จะพบได้ง่าย เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของรากฐาน ดูอย่างตำหนักซีเทียนสิ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นอยู่ใต้บัญชาการใช่ไหมล่ะ?” เหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางอธิบาย
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิด จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนล้วนเป็นตัวแทนของรากฐาน แม้จะมีขั้วอำนาจมากมายในมหาพันภพ แต่ส่วนมากก็มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่เผ่าโบราณเหล่านั้น อย่างเผ่าฝูถูจำนวนจอมยุทธ์ที่มีสูงกว่ามาก จากระดับหนึ่งนั่นอาจถือได้ว่าเป็นรากฐานของพวกเขา
“ทั้งสามคนนี้ทรงพลัง แม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาลพวกเขาก็สามารถลงชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพลได้” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความกังวลกะพริบในดวงตา แม้ว่าเมื่อครู่มู่เฉินจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มี แต่นั่นแค่การเปิดฉาก หากตำหนักมู่ต้องการที่นั่งหนึ่งในจักรวรรดิเหนือ เขาก็ต้องฉกมาจากสามคนนี้
ถ้าเขาล้มเหลว ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็จะถูกล้างบางเหลือเพียงเถ้าถ่าน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากทั้งสามคน เห็นได้ชัดว่าถ้าตำหนักมู่คิดจะบรรลุเป้าหมาย การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยเจตนาฆ่าวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งเก้านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา แต่มู่เฉินสังหารพวกเขาไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างไร้ความปรานี ราคานี้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
พวกเขาประเมินมู่เฉินและความเด็ดขาดที่อีกฝ่ายมีต่ำไปมาก
เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ฮ่าๆ ดี นานมากแล้วที่สำนักเฆาม่วงของข้าต้องประสบกับความสูญเสียเช่นนี้ เจ้าแน่จริงๆ”
หกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสำนักเมฆาม่วง สามคนถูกปิดผนึกโดยมู่เฉิน สามคนที่เหลือสองคนถูกสังหารและหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บหนัก
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงถูกมู่เฉินริดซะเหี้ยนเลย
เมื่อมองสายตาเย็นชาของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็ยิ้มบาง “สำนักเมฆาม่วงของเจ้าไปที่ตำหนักข้า ทำตัวหยิ่งผยอง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”
สายตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงเย็นเยือกลงหลายส่วนก่อนที่จะแค่นเสียง “ตำหนักมู่กระจ้อยร่อย สำนักเมฆาม่วงของข้าสามารถทำลายได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ แกยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าข้างั้นเหรอ?”
มู่เฉินส่ายหัว “น่าเสียดายที่ตอนนี้สำนักเมฆาม่วงเป็นฝ่ายถูกกำจัด”
เผชิญหน้ากับรังสีสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินไม่กลัว มิหนำซ้ำยังตอกกลับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเขารู้ดีว่าการล่าถอยในตอนนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามก้าวเข้ามาอีกก้าว
ที่ราบเป่ยยู่เงียบงัน ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองดูการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วง พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักแอะเดียว
พวกเขารู้ดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ถ้าพวกเขาปะทะกันก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ
“ฮ่าๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็อดหัวเราะออกมาด้วยเจตนาเข่นฆ่าหนาแน่นในดวงตาไม่ได้ ทำเอาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดฮวบลง
“มั่นใจได้ หลังจากวันนี้ข้าจะเคลื่อนพลเป็นส่วนตัวล้างบางตำหนักมู่ทั้งหมด!”
เจ้าสำนักเมฆาม่วงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ภูมิภาคทางเหนือของแกจะกลายเป็นทะเลเลือดภายใต้ความโกรธของข้า เมื่อถึงเวลานั้นแกจะเป็นคนบาปให้ผู้คนตราหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความยิ่งยโสและโง่เขลาเบาปัญญาของแก!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเยือกเย็นของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาพูดเบาๆ ว่า “พวกนกกระจิบร้องจิ๊บๆ ถ้าปากแกเก่งอย่างว่าก็คงครอบครองทวีปเทียนหลัวไปนานแล้ว”
ริมฝีปากของผู้คนโดยรอบกระตุก เห็นชัดพวกเขาไม่คิดว่าประมุขตำหนักมู่ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมด้วยทักษะ แต่ฝีปากยังคมกล้า ทำเอาเจ้าสำนักเมฆาม่วงบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ
แต่ละคนแอบมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นความโกรธพุ่งออกมาจากดวงตา แม้แต่มิติโดยรอบก็สั่นเทิ้มภายใต้ความโกรธเกรี้ยว รอยแตกกระจายออกมา
ฮา
ทว่าเมื่อจิตสังหารพุ่งถึงขีดสุด การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับความสงบก่อนพายุจะมา
เขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉินอีก แต่หันกลับไปมองไปที่เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง “ข้าจะให้ไอ้บ้านี่ดูว่าข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ยังไง พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองถือว่าเป็นศัตรูกัน แต่เนื่องจากตอนนี้มู่เฉินเป็นผู้ท้าชิงที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงยอมจับมือกันชั่วคราวเพื่อที่จะฆ่าผู้ท้าชิงลงเสียก่อน
เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองสบตากัน ก่อนที่จะหรี่ตายิ้ม “งั้นเราจะปล่อยให้เจ้าสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอจอมหยิ่งคนนี้สักหน่อย”
ยามนี้ไอสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมาถึงขีดสุดแล้ว แม้ว่าประมุขตำหนักมู่จะอายุน้อย แต่เขาก็มีความสามารถบางอย่างและเป็นเรื่องดีที่จะให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงลงมือทดสอบก่อน
ถ้าเจ้าเด็กนั่นทำท่าจะแพ้ พวกเขาก็จะมองหาโอกาสที่จะฆ่าเขา ก่อนที่จะตัดแบ่งตำหนักมู่ออก
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องไม่เหลือชื่อตำหนักมู่อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีก
เจ้าสำนักเมฆาม่วงพยักหน้าอย่างใจเย็น แม้ว่ามู่เฉินจะดูแปลกๆ แต่เขาก็ไม่กลัว สิ่งที่เขากลัวคืออีกสองคนจะฉวยโอกาสตอนต่อสู้ แต่ดูจากท่าทางหมาแก่สองตัวนี่ก็ต้องการกำจัดตำหนักมู่เหมือนกัน
ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับมา ม่านตาสีม่วงจ้องมองไปที่มู่เฉิน พูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”