หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1364 ประมุขตำหนักมู่ปะทะสามผู้นำ
บนที่ราบเป่ยยู่
เมื่อเสียงสงบราบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง คลื่นเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว ทุกคนถึงกับตกตะลึงขณะมองดูภาพเงาอ่อนเยาว์
เห็นได้ชัดที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้ว่าผู้นำทั้งสามจะร่วมมือกัน ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทางไม่ยอมแพ้
ต้องรู้ว่าทั้งสามคนเป็นจอมยุทธ์ที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างดวงจิตที่ผิดแผก แต่เขาก็ไม่มีโอกาสสูงนักที่จะกำชัยชนะหากต่อสู้
จอมยุทธ์ตำหนักมู่ดูไม่วิตกกังวลมากนัก ซ้ำยังมีท่าทางตั้งมั่น พวกเขารู้ดีว่าตำหนักมู่ของพวกเขาต้องปะทะกับผู้นำทั้งสามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามู่เฉินล่าถอยในวันนี้ ผู้นำทั้งสามคงตีตลบหลังพวกเขาแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นการทำลายล้างก็รออยู่ข้างหน้า
ในเมื่อจะเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่พยายามสุดกำลังแล้วลองเสี่ยงดู!
ขณะที่ฟ้าดินเดือดพล่าน เจ้าเมฆาม่วงก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพูดว่า “โอหังนัก แกคิดจะท้าทายพวกข้าสามคนตามลำพังเนี่ยนะ?”
มู่เฉินยิ้ม พูดอย่างไม่แยแส “คนขี้แพ้มีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากมู่เฉิน ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วงก็กระตุก สายตาที่มองมู่เฉินราวกับจะฉีกเนื้อออกมากัดกินให้สาแก่ใจ เพราะด้วยสถานะของเขาในจักรวรรดิเหนือไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากก็คือความจริงที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แม้จะมีการเยาะเย้ยก็ตาม เนื่องจากการประมือเมื่อครู่พิสูจน์ได้แล้วว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขา มิหนำซ้ำยังเหนือกว่า
ขณะที่เจ้าเมฆาม่วงแทบคลั่ง เจ้าภูเขาเหลยยิงก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนประมุขมู่จะรั้นมากจริงๆ”
แม้ว่าจะแสดงท่าทางเสียดายบนใบหน้า แต่สายตากลับฉายแววเย็นชา เขาต้องการให้มู่เฉินดื้อจนถึงที่สุดเพื่อพวกเขาสามคนจะได้ผนึกกำลังกันอย่างจริงจัง
ในวัยเท่านี้มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาแล้ว ถ้าปล่อยให้เติบโตเขาก็อาจกลายเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียวในจักรวรรดิเหนือก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นราชันแท้จริงของจักรวรรดิเหนือจะเป็นใครไม่ได้นอกจากมู่เฉิน ดังนั้นอันตรายที่ซ่อนอยู่เช่นนี้จะต้องถูกกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด
เขาเชื่อว่าอีกสองคนก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
เจ้าภูเขาเหลยยิงหันไปมองเจ้าอินทรีทองและเจ้าเมฆาม่วง ตามคาดทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกับรังสีสังหารแน่นหนาวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา
พรสวรรค์และศักยภาพของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม
“ในเมื่อแกยืนยันที่จะทำลายสมดุลของจักรวรรดิเหนือ งั้นพวกข้าก็ต้องร่วมมือกันกำจัดแกเพื่อผดุงความสมดุลไว้” เจ้าอินทรีทองกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าช้าๆ สายตาเฉียบคมมากขึ้น
กีด!
ทันทีที่พูดจบ รัศมีสีทองก็ระเบิดออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ก่อร่างเป็นปีกสีทองคู่หนึ่งข้างหลังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด
ขณะเดียวกันคลื่นทรงพลังก็เปล่งออกมาจากเจ้าอินทรีทอง ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินตกอยู่ในแรงกดดัน
เมื่อเจ้าเมฆาม่วงเห็นเช่นนั้น ก็หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเล รัศมีสีม่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม เร้าคลื่นหลิงกระเพื่อมอยู่ข้างหลัง มองเห็นรูปร่างของเงาขนาดใหญ่คลุมเครือ
ทั้งสามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แรงกดดันของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบเป่ยยู่ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัวบนใบหน้าภายใต้แรงกดดันนี้
ภายใต้แรงกดดันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มบางคนยังสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
เพียงแค่อยู่รอบนอกก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะทน ไม่รู้ว่าความกดดันที่มู่เฉินกำลังเผชิญอยู่นั้นน่ากลัวเพียงใด
ขณะที่ทุกคนมองไปที่ภาพเงานั้นบนท้องฟ้า ร่างอ่อนเยาว์ก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีการกระเพื่อมจากผลกระทบของพลังงาน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เขายังรู้สึกกดดันเลย
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ สองมือเริ่มวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงสีม่วงทองเคลื่อนไหว คลื่นหลิงก็ปกคลุมชั้นฟ้าและชั้นดินราวกับหมู่เมฆ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่เขาก็มีวิชาสามพิสุทธิ์ด้วย ดังนั้นจำนวนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนัก
ทั้งหกประจันหน้ากันบนท้องฟ้า รัศมีที่แผ่ออกมาทำให้กระทั่งมิติยังแช่แข็ง
ปัง!
แต่อึดใจต่อมาบรรยากาศก็ถูกทำลาย เจ้าเมฆาม่วงเคลื่อนไหวเป็นคนแรก สายตาเย็นชาของเขาจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่เมฆสีม่วงล้อมกรอบมู่เฉินไว้
ส่วนเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงก็ทะยานเข้าไปสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวตามลำดับ
มู่เฉินกระทืบเท้าส่งแรงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเผชิญหน้ากับเจ้าเมฆาม่วง ขณะที่ร่างรองก็หันไปประจัญบานกับผู้นำอีกสองคน
ตู้ม ตู้ม!
คลื่นกระแทกรุนแรงสร้างความหายนะในท้องฟ้า ชั้นฟ้าถูกฉีกออก รอยแตกกระจายอยู่บนชั้นดิน…
ที่ราบเป่ยยู่ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นกระแทกของการต่อสู้ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี
ฟิ้ว!
ร่างเงาสีทองของเจ้าอินทรีทองพาดผ่านขอบฟ้า ปีกสีทองที่อยู่ข้างหลังกระพือยกระดับความเร็วจนน่ากลัว
ที่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำตามมาอย่างใกล้ชิดขณะที่ปล่อยเสียงฟ้าร้องดังก้อง
เหลือบมองภาพเงาสีดำที่ตามมาข้างหลัง เจ้าอินทรีทองคำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าภูเขาเหลยยิง ซึ่งตอนนี้มู่เฉินชุดขาวอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย
“ล่อมันมาแล้ว” เมื่อเห็นมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วยกัน เจ้าอินทรีทองก็เหลือบมองไปที่ร่างหลักมู่เฉินที่ถูกกักเอาไว้โดยเจ้าเมฆาม่วงก่อนที่จะเค้นเสียง
เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้มพลางพยักหน้า ในทันใดนั้นแขนเสื้อกว้างของเขาก็เริ่มกระพือปีกเปล่งแสงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
“แขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
แขนเสื้อก่อร่างเป็นช่องมิติที่ดูเหมือนหลุมดำ ขณะที่พุ่งออกไปห่อหุ้มมู่เฉินชุดดำและชุดขาว
แขนเสื้อห่อหุ้มขอบฟ้าไว้โดยมีมู่เฉินทั้งสองติดอยู่ข้างใน
โห่
ความปั่นป่วนดังขึ้นในฉากนี้พร้อมกับเสียงอุทาน “นั่นแขนอาภรณ์ฟ้าดิน!”
“ว่ากันว่านี่คือสมบัติของภูเขาเหลยยิง ซึ่งเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมที่มีมิติเป็นของตัวเอง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดยังไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อถูกขังอยู่ในนั้น!”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานเหล่านั้น ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขาบอกได้เลยว่าเจ้าภูเขาเหลยยิงตั้งใจจะดักจับร่างดวงจิตของมู่เฉินไว้ชั่วคราว เพื่อทั้งสามคนจะได้พุ่งเป้าไปที่ร่างหลักของมู่เฉิน
ตู้ม ตู้ม!
ขณะที่แขนเสื้อขนาดใหญ่สะบัดไปมา เสียงดังก้องก็มาพร้อมกับการโจมตีที่น่ากลัวอย่างต่อเนื่องจากแขนเสื้อด้านใน ทำให้แขนเสื้อสั่นพั่บรุนแรงพร้อมกับรอยแตกเริ่มปรากฏขึ้น
เมื่อเจ้าภูเขาเหลยยิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปวดหัวใจ แม้ว่าแขนอาภรณ์ฟ้าดินจะทรงพลัง แต่การดักจับสองคนไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ แต่อาวุธล้ำค่าก็จะได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน
“ไม่ต้องปวดใจ รอให้ลบล้างตำหนักมู่ สมบัติในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถชดเชยความสูญเสียของเจ้าได้สบาย” เจ้าอินทรีทองเอ่ยอยู่ด้านข้าง
เมื่อได้ยินเจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า
“อย่าเสียเวลา ไปจัดการกับร่างหลักของมู่เฉินเถอะ แขนอาภรณ์ฟ้าดินสามารถดักจับร่างดวงจิตได้เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น” เจ้าภูเขาเหลยยิงพูด
“ไป!”
เจ้าอินทรีทองพยักหน้า ทั้งสองกลายเป็นริ้วแสงเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วง
ตู้ม!
มู่เฉินและเจ้าเมฆาม่วงปะทะกันจังใหญ่ คลื่นหลิงรุนแรงสร้างหายนะไปทั่ว ฝ่ายหลังถอยกลับและทรงตัว ทว่าแม้ครั้งนี้เขาจะไม่สามารถคว้าตำแหน่งเหนือกว่าได้ แต่ก็มีรอยยิ้มน่าขนลุกบนใบหน้า
“มู่เฉิน สุดท้ายแกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับความหยิ่งผยอง”
มู่เฉินหรี่ตาลง เอียงศีรษะเล็กน้อยก็เห็นเจ้าอินทรีทองและเจ้าภูเขาเหลยยิงปรากฏตัวอยู่ไม่ไกล ปิดเส้นทางหนีทีไล่ของเขาไว้หมดแล้ว
มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ตอนร่างรองถูกขังไว้ในแขนอาภรณ์ฟ้าดิน แต่ดูเหมือนมันจะจัดการลำบากกว่าเมฆาม่วงเทวะ ทำให้ร่างรองของเขาไม่สามารถหลุดพ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ท่าทางข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไป”
มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ การจัดการกับจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะจัดการกับระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ในตอนนี้เขาถือได้ว่าอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพวกที่สัมผัสระดับเทียนจื้อจุน เขาก็ยังต้องระวังหนัก
เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ บนที่ราบเป่ยยู่เห็นฉากนี้ก็ได้แต่ส่ายหัว ดูเหมือนว่าการต่อสู้ในวันนี้ได้ถูกกำหนดแล้ว การเผชิญหน้ากับผู้นำทั้งสาม สุดท้ายมู่เฉินก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าเขาสามารถบังคับให้ผู้นำทั้งสามต้องร่วมมือกัน ต่อให้วันนี้จะพ่ายแพ้แต่มู่เฉินก็ควรภาคภูมิใจแล้ว
“ประมุขมู่ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์แค่ไหน บางครั้งก็ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง พิจารณาสถานการณ์ให้ดีๆ… วันนี้ถือว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะดูตาม้าตาเรือมากขึ้นในอนาคตนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงถอนหายใจ
แต่สายตากลับฉายแววเย็นชาในที ‘แน่นอนว่าเขาต้องมีอนาคตให้ได้ก่อน…’
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าภูเขาเหลยยิง มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “วันนี้ข้าได้รับคำชี้แนะแท้จริง…”
พูดไป เขาก็หยุดชั่วคราวก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็มีบางอย่างที่ข้าจะชี้แนะเจ้าเช่นกัน”
“โอ้?” เจ้าภูเขาเหลยยิงยิ้ม
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นผลึกแสงก็เบ่งบานในดวงตา เจดีย์ทะยานออกมาพลิ้วลงบนฝ่ามือของเขา
มู่เฉินถือเจดีย์พุทธะไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาทั้งสามพร้อมกับเจตนาฆ่าผสานอยู่ในน้ำเสียงที่ค่อยๆ สะท้อนออกมา
“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”