หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1367 แบ่งดินแดน
ตู้ม!
บนท้องฟ้าที่ราบเป่ยยู่ เมื่อเจดีย์ผลึกแก้วสลายตัวลง พายุคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกไปทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองไปบนท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าเจดีย์หายไปดวงตาทุกคู่ก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ความวุ่นวายจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“เจดีย์ผลึกแก้วหายไปแล้ว! ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะทำลายได้!”
“เร็วมาก ดูเหมือนมู่เฉินแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งซะแล้ว…”
“ยังไงซะก็เป็นการต่อสู้กับจอมยุทธ์ทั้งสามคนตามลำพัง แม้ว่าเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ควรภาคภูมิใจได้ หลังจากวันนี้ไปข้าคิดว่าชื่อเสียงของตำหนักมู่จะขจรขจายไปจักรวรรดิเหนือ”
“แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว…”
“…”
เสียงสนทนาดังสะท้อน สมาชิกขั้วอำนาจทั้งสามก็คลายสีหน้าลง
เห็นได้ชัดว่าในสายตาพวกเขาการที่เจดีย์หายไปนั้น ต้องหมายความว่าถูกทำลายโดยผู้นำทั้งสามเป็นแน่
เมื่อจอมยุทธ์ตำหนักมู่เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจตีกวน ก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัว อีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองไปที่พายุพลังงานโดยไม่กะพริบตา
ฟิ้ว!
เสียงหวีดหวิวคมชัดดังขึ้น พริบตาเดียวผู้คนนับไม่ถ้วนก็เห็นเงาร่างสามร่างดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอุกกาบาต ก่อนที่จะกระแทกลงไปในส่วนลึกของที่ราบเป่ยยู่
ครืน!
ผลกระทบดังกล่าวทำให้ที่ราบเป่ยยู่ทั้งหมดโยกคลอน รอยแตกขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรงปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนมองไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแพ้หมดท่าเลยเหรอ?
ผู้คนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชะเง้อมองไปในส่วนลึกของที่ราบ พวกเขาเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่สามแห่ง ซึ่งมีร่างเงาสามร่างนอนพังพาบอยู่…
“นั่นมัน?”
ทุกสายตาจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสาม ครู่ต่อมาก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับความไม่เชื่อพล่านบนใบหน้า
เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่านั่นคือเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองที่นอนอยู่ในหลุมอุกกาบาต!
โห่!
เสียงอุทานดังก้องระหว่างฟ้าดิน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสามก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นความกลัวราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
“นี่…เป็นไปได้ยังไง?!”
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่ปากจะพะงาบพูดขึ้น “ดูเหมือนมู่เฉินจะมีความสามารถแท้จริง เพื่อที่จะฆ่าเขา ประมุขทั้งสามยังได้รับบาดเจ็บหนัก!”
แต่ขณะที่พวกเขากำลังปลอบใจตัวเอง สายตาก็ต้องแข็งทื่อเมื่อเห็นร่างอ่อนเยาว์ค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกวาดมองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งสามด้วยสีหน้าสงบ
แม้ว่าเงาบนท้องฟ้านั่นไม่ได้ทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงใด แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความสยองเกล้าแผ่ซ่านออกมาในใจ
ภายใต้ความกดดันที่ราบเป่ยยู่เงียบสนิทลง กระทั่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่จำนวนมากที่อยู่ใต้บัญชาของผู้นำทั้งสามก็ไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ความกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างนั่น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำทั้งสาม ดังนั้นแววเยาะเย้ยจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว…
ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่มองไปในหลุมอุกกาบาตสามแห่งจากเบื้องบนชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ถ้ายังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาซะ”
เสียงเขาถูกตอบกลับด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดสักแอะขณะที่มองไปยังหลุมอุกกาบาต
ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวในหลุมอุกกาบาต ร่างสามร่างค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้การจ้องมองของทุกคน
ซี้ด
เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามนั้น พวกเขาก็สูดลมหายใจเย็นด้วยความกลัวบนใบหน้า
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเสื้อผ้าแต่ละคนขาดวิ่นไปหมด มิหนำซ้ำคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญคือตรงบ่าพวกเขายังมีคราบสีดำราวกับโคลนปกคลุมพื้นผิวพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายและคลื่นหลิงอย่างต่อเนื่อง
ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือด เนื้อตัวบวมฉึ่งไม่หยุด ก่อนที่จะระเบิดเลือดสดไหลลงมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาบาดเจ็บหนัก!
ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้าใกล้กันมองไปที่มู่เฉินอย่างเคร่งเครียด ทว่าสายตาของพวกเขาไม่ได้หยิ่งผยองอีกต่อไป แต่กลับมีความกลัวหนาแน่นแทนที่
พวกเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจากการปะทะกันแล้ว ซ้ำเหล่าปีศาจในเจดีย์ยังน่าสะพรึงกลัวมากจนแม้แต่พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่สามารถกีดขวางใดๆ ได้
“ตอนนี้เรามาคุยเรื่องเกี่ยวกับตำหนักมู่ของข้าที่จะเข้าสู่จักรวรรดิเหนือได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามด้วยรอยยิ้มอ่อน ท่าทางไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อครู่
ทั้งสามคนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกข้าปฏิเสธได้เรอะ?”
ยามนี้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงอย่างมากจากการบาดเจ็บ ถ้ามู่เฉินต้องการที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงที่ราบเป่ยยู่ในวันนี้แน่
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาเป็นลูกไก่ในมือคนอื่น พวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะคุยโวกับมู่เฉินได้
“พวกเจ้าว่ายังไงล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ทั้งสามคนอยู่ในความเงียบ แต่ดูไม่เย่อหยิ่งอีกต่อไป
เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สะบัดแขนเสื้อทันที แสงหลิงพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ
ดินแดนดังกล่าวถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน จักรวรรดิเหนือกว่าแปดส่วนถูกครอบครองโดยสามขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้ ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือครอบครองสถานที่ห่างไกล
มู่เฉินดีดนิ้ว แสงหลิงก็ยิงเข้าไปในแผนที่ ทุกคนสามารถมองเห็นพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยการกลืนกินเข้าไปในดินแดนของสามขั้วอำนาจทั้งสี่ด้าน
หลังจากไม่กี่ลมหายใจการขยายตัวก็หยุดลงโดยมีตำหนักมู่ได้ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ ขณะที่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำมีส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่ง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนี่จะเป็นการแบ่งดินแดนของจักรวรรดิเหนือ” เสียงของมู่เฉินดังขึ้นขณะที่ชี้ไปที่แผนที่
เฮือก
ขั้วอำนาจน้อยใหญ่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก จากการแบ่งนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะถูกลากเข้าไปใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่
นี่เผด็จการเกินไปแล้ว!
เขากลืนกินจักรวรรดิเหนือครึ่งหนึ่งในคราวเดียว!
แม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนจับจ้องไปที่ผู้นำทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะไปโต้เถียงอะไรกับมู่เฉิน
“นี่มันเกินไปแล้ว!” เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิง เจ้าอินทรีทองคำรามด้วยความโกรธใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ
นี่เท่ากับความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา!
มู่เฉินยิ้ม “ผู้ชนะเขียนกฎจะมากเกินไปได้ยังไง? ถ้าวันนี้ตำหนักมู่ของข้าพ่ายแพ้ วิธีของพวกเจ้าจะไม่เกินกว่านี้รึไง?”
ใบหน้าของทั้งสามคนกระตุกก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ “ประมุขมู่ เจ้าทรงพลังมากก็จริง แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกข้าไม่ใช่คนตัดสินใจที่นี่ เบื้องหลังพวกข้าเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงสุดของมหาพันภพ…”
คำพูดของเขามีการข่มขู่แอบแฝงในที
มู่เฉินทรงพลังก็จริง แต่พวกเขามีจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนอยู่ข้างหลัง เมื่อไรที่จอมยุทธ์เหล่านั้นเคลื่อนไหว ต่อให้มู่เฉินมีปีศาจเหล่านั้นก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็แค่หุ่นกระบอกเท่านั้น” มู่เฉินพูดเบาๆ ก่อนจะว่าต่อ “ไม่งั้นพวกเจ้าคิดว่าข้าทำไมต้องเสียแรงมาพูดด้วย? แค่จัดการให้สิ้นซากและครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จบ”
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากท้าทายขั้วอำนาจเบื้องหลังถึงที่สุด เขาจะเหลือดินแดนครึ่งหนึ่งไว้ให้กับพวกเขาทำไม?
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของทั้งสามก็ซีดและเขียวสลับกันก่อนที่จะกัดฟัน “ดูเหมือนตำหนักมู่จะสามารถเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามได้ พวกเราพลาดไปเอง”
แม้ว่าพวกเขาจะพูดแบบนี้ แต่คำพูดเยาะเย้ยในคำพูดก็ชัดเจน
เห็นได้ชัดที่พวกเขาคิดว่ามู่เฉินเพียงแค่ปากแข็งเท่านั้น เพราะขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะแข่งขันได้
มู่เฉินยิ้ม “พวกเจ้าแต่ละคนมีกลุ่มสนุบสนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วคิดว่าข้าไม่มีรึไง?”
เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดตาลง จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น พวกเขาเคยตรวจสอบภูมิหลังของตำหนักมู่แล้ว ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขั้วอำนาจสูงสุดสนับสนุนอยู่ด้านหลัง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าที่จะยั่วยุตรงๆ แบบนี้หรอก
เมื่อเห็นท่าทางทั้งสาม มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษรสลักว่า ‘ป้ายสังหารปีศาจ’ ภายใต้คำนี้มีอักษรสีแดงเข้มกระแทกตาพร้อมกับกลิ่นอายครอบงำในสายตา
ราชันสังหารปีศาจ
ทั้งสามคนพุ่งความสนใจไปทันที เมื่อเห็นตัวอักษรสีแดงเข้มคำว่าราชันสังหารปีศาจ พวกเขาก็สั่นสะท้าน หนังหัวชาหนึบไปหมด
ในที่สุดพวกเขาก็รู้ถึงขุมกำลังที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน…
ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ—วังมหาพันภพ!