หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1376 ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต
เสียงแหบพร่าของจักรพรรดินีดังก้องในวัง
ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ก่อนที่พวกเขาจะเงยใบหน้าตื่นตัวมองไปทิศทางนั้นด้วย
มีบางคนอยู่ที่นี่โดยที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้รึ?
ภายใต้สายตาตกประหม่ามากมาย ความเงียบงันก็คงอยู่พักใหญ่ก่อนที่ระลอกคลื่นจะถูกยกขึ้น ทุกคนก็เห็นภาพเงาสูงโปร่งปรากฏขึ้นก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาในโถง
“ประสาทสัมผัสดีจริง”
มู่เฉินกล่าวขณะที่มองจักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ
การเร้นกายของเขา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มชั้นสูงในมหาพันภพยังไม่สามารถตรวจพบได้ ไม่คิดว่าจะถูกค้นพบในพิภพเขตล่างแบบนี้
“ประสาทสัมผัสของข้าแค่เฉียบแหลมตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นข้าจึงสามารถตรวจจับได้อย่างเลือนราง” มองไปที่ชายอ่อนอาวุโส จักรพรรดินีก็คลี่ยิ้ม น้ำเสียงของนางไม่ถือยศอะไรเพราะนางรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากอีกฝ่าย
ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้นางรู้สึกถูกคุกคาม
ชายผู้นี้ทรงพลังมาก
“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่กลางโถงก็ร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นมู่เฉิน
ความปั่นป่วนกวนตัวทั่ววัง ทุกคนจ้องมองไปที่มู่เฉิน พวกเขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยคนนี้จะเป็นท่านเทพที่หญิงสาวเมืองเถี่ยเสี่ยพูดถึง
“หึ เจ้าเป็นคนสร้างเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นเรอะ?”
ทว่าท่ามกลางความตกใจนั้น เสียงหัวเราะเย็นก็ดังก้องมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัวซึ่งมองมาที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนจะแผดเสียง “เจ้ารู้ไหมว่าสร้างความยุ่งยากอะไรขึ้นมา? เจ้ากล้าฆ่าจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียทั้งเมือง ถึงเวลานั้นเราทุกคนจะถูกเจ้าลากลงนรกไปด้วย!”
มู่เฉินหันหน้าไปมองชายชราก่อนที่จะยิ้ม “ดูเหมือนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะมีคนทรยศอยู่เสมอ”
“แกว่าไงนะ?!” ชายชราหัวร้อนขึ้นทันที
แต่เมื่อเสียงเขาจบลง ร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้า ท่าทางชายชราเปลี่ยนไป แสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นในดวงตา ก่อนที่พลังงานจะระเบิดออกจากร่างกาย ฝ่ามือผลักออกไป
แกร็ก
ทว่าก่อนที่พลังจะปะทุขึ้น มือเรียวก็เหมือนทะลุมิติคว้าเข้าที่ลำคอเหี่ยวย่นโดยไม่สนใจการป้องกันอะไร
มู่เฉินยกร่างชายชราขึ้น ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดมือมู่เฉินออกไปได้
“แกมีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดกับข้า?” มู่เฉินยิ้มเหยียดหยามในสายตา
ในที่สุดชายชราเผยความหวาดกลัวบนใบหน้า เนื่องจากเขาตระหนักได้แล้วว่าชายลึกลับคนนี้น่ากลัวเพียงใด…
“ปล่อยข้า! ไม่งั้นเผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยแกไปแน่!” ชายชราดิ้นขลุกขลัก
“วางใจเถอะ คนอย่างแกยังไม่คู่ควรให้ข้าจัดการหรอก”
มู่เฉินสะบัดมือไม่ใส่ใจโยนร่างชายชรากระแทกเสาถูกฝังอยู่ข้างใน จากนั้นพลังงานแข็งกร้าวก็มัดตัวเขาไว้ ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ร่างอยู่ในเสาราวกับของตกแต่งก็มิปาน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง เสนาบดีใหญ่เป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งรองจากจักรพรรดินีเชียวนะ แต่เมื่ออยู่ในชายลึกลับคนนี้กลับไม่สามารถต้านทานได้เลยราวกับมดปลวก
เสนาบดีคนอื่นๆ ใบหน้าก็ซีดขาวขณะที่ถอยรนออกไป ไม่กล้ามองหน้ามู่เฉินเพราะกลัวว่าจะเป็นรายต่อไป
ในโถงเงียบสงบ มู่เฉินกวาดสายตาออกไป คนที่เขามองจะตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวจากแรงกดดันมหาศาลที่รู้สึกได้
ในที่สุดสายตาเขาก็เลื่อนไปมองที่จักรพรรดินี ฝ่ายหลังไม่กลัวที่จะจ้องตาเขาตอบ
“ตอนแรกข้าก็คิดว่านี่เป็นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของโลกใบนี้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นหลุมพราง” มู่เฉินยิ้มให้จักรพรรดินี
จากบทสนทนาที่ผ่านมาทำให้เขาทราบว่าที่เรียกว่า ‘ดินแดนอุดมรัฐ’ กลับเป็นสถานที่ที่ต้องส่งพลเมืองออกไปเป็นปศุสัตว์หลายล้านคนเพื่อบรรณาการ
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดินีก็ซีดลงด้วยความรู้สึกผิด
“ท่านเทพ… จักรพรรดินีทำดีที่สุดแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางต่อสู้เพื่อพวกเราตลอดมา บางทีเราอาจไม่มีเมืองนี้อยู่ด้วยซ้ำ” จอมยุทธ์ชั้นสูงบางคนอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทนจักรพรรดินีของพวกเขา
“พอเถอะ” จักรพรรดินีหยุดทุกคนตอบว่า “ข้าไร้ประโยชน์เอง ไม่สามารถช่วยทุกคนได้”
จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นสายตาลุกโชนมองไปที่มู่เฉิน “ท่านเทพ เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสีย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นราชันปกป้องเราได้”
มู่เฉินที่อยู่เบื้องหน้ามีพลังที่แข็งแกร่งเหลือล้น เขาเปรียบได้กับผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ถ้าได้การคุ้มครองจากเขา เผ่าเสี่ยเสียก็คงจะหวาดกลัวเช่นกัน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากจากคำพูดของนาง ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนของโลกนี้
ดังนั้นเขาจึงตอบเสียงเปรี้ยวว่า “ข้าไม่ใช่คนบนโลกของเจ้าหรอกนะ”
จักรพรรดินีอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านเทพเป็นคนมาจากนอกโลกหรือ?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องบางอย่างจริงๆ” มู่เฉินประหลาดใจกับปฏิกิริยาของนาง ท่าทางนางจะรู้ถึงการมีอยู่ของมหาพันภพ
“ข้าเคยอ่านในบันทึกโบราณว่ามีโลกอื่นนอกเหนือจากที่นี่ ผู้เชี่ยวชาญของโลกนั้นสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียได้” จักรพรรดินีตอบ
ดวงตาของทุกคนในห้องโถงเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความตื่นเต้น
มองไปที่สายตาของพวกเขา ขณะที่มู่เฉินจะพูด ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันไปมองในทิศทางหนึ่ง “ตัวปัญหามาแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน คนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่ใบหน้าของจักรพรรดินีอดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ร่องรอยแห่งความกลัวและความเกลียดชังเผยในดวงตาของนาง
ไม่นานหลังจากเสียงของมู่เฉินดังขึ้น ทุกคนก็เห็นท้องฟ้าเริ่มมืด กระทั่งเมฆยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ทั่วทั้งฟ้าดินปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
“บัดซบ เผ่าเสี่ยเสียมาแล้ว!” ใบหน้าของจอมยุทธ์ชั้นสูงเปลี่ยนไป พร้อมกับความกลัวหนาแน่นผุดขึ้นบนใบหน้า
ขณะนี้ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนจำนวนมากมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความกลัวพร้อมกับเสียงสิ้นหวัง
การปรากฏตัวของเผ่าเสี่ยเสียเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
เมฆสีแดงเข้มบินเข้ามาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าของเมืองนี้ โดยมีเงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วน
เมื่อเมฆสีแดงเข้มด้านหน้าสุดกระจายออกจากกัน เงาร่างปีศาจที่แข็งแกร่งสี่ร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขากอดอกมองลงมาที่เมืองด้วยสายตาโหดเหี้ยม แรงกดดันมหาศาลกวาดออกจากร่างพวกเขา
“สี่แม่ทัพปีศาจโลหิต!”
เมื่อมองไปที่ภาพเงาเหล่านั้น จอมยุทธ์ชั้นสูงก็หน้าซีดขาวด้วยความกลัวบนใบหน้า กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังสามารถเผชิญหน้าได้แค่คนเดียวเท่านั้น
สายตาของมู่เฉินไม่ได้มองไปที่ทั้งสี่ แต่มองข้างหลังด้วยดวงตาหรี่ลง
ภายใต้สายตาของมู่เฉิน แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็เลื่อนตัวเปิดทาง บัลลังก์สีแดงเข้มปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพเงาที่มีผมขาวสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มนั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน
เมื่อร่างนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังในดวงตา บางคนถึงกับล้มพับลงกับพื้น
แม้แต่จักรพรรดินียังกำหมัดแน่นขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน “แม้แต่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็มา…”
“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต?”
มู่เฉินมองไปที่ภาพเงานั้น ตามการรับรู้ของเขาพลังของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตนี้เทียบได้กับเจ้าเมฆาม่วงที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน
พลังนี้เพียงพอที่จะทำให้มู่เฉินมองอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน
ขณะเดียวกันร่างเงานั้นก็มองลงมาที่เมืองด้วยความเฉยเมยในสายตาราวกับว่ากำลังมองสัตว์ที่รอให้ถูกฆ่า
อึดใจเสียงไร้อารมณ์ก็สะท้อนขึ้น “ส่งคนมารับโทษและครั้งนี้ข้าจะพาอาหารสิบล้านคนไปเป็นการทำโทษ”
เสียงของเขาสะท้อนออกมาทำให้ทุกคนในเมืองสิ้นหวัง
สมาชิกชั้นสูงในวังก็ตัวสั่น
“คิๆ ก่อนหน้านี้พวกแกดูเก่งนักไม่ใช่เหรอ?” ชายชราที่ฝังอยู่ในเสาหัวเราะร่วน ขณะที่มองมู่เฉินอย่างดุร้าย
ขุนนางน้อยใหญ่มองไปที่จักรพรรดินีถามว่า “จักรพรรดินี เราจะทำอย่างไรดี”
พวกเขาลอบมองไปที่มู่เฉิน ชัดเจนที่รู้สึกว่าควรส่งชายคนนี้ไป
มู่เฉินเฝ้าดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาไม่พูดแต่มองไปที่จักรพรรดินี อยากรู้ว่านางจะเลือกอย่างไร
ความเงียบปกคลุม ทุกคนต่างมองไปที่จักรพรรดินี นางกำหมัดแน่นร่างสั่นสะท้าน ไม่นานนางก็สูดหายใจลึก อกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างช้าๆ พูดว่า “ทุกคนอยากมีชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือ? ปล่อยให้พวกมันเลี้ยงเราราวกับเป็นสัตว์?”
ดวงตาของทุกคนแดงก่ำขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน พวกเขาเกลียดเผ่าเสี่ยเสีย แต่พลังที่เหนือล้ำของเผ่าเสี่ยเสียทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังนัก
จักรพรรดินีกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดยังไง แต่…ข้าไม่อยากส่งประชาชนไปเลี้ยงเหมือนสัตว์อีกต่อไปแล้ว…”
พูดถึงจุดนี้ ใบหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางกวาดสายตาออกไป “ครั้งนี้ข้าจะไม่ส่งใครไปอีกเด็ดขาด!”
ทุกคนตัวสั่น จากนั้นมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน พวกเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าจักรพรรดินีของพวกเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายลึกลับคนนั้น…
หากพวกเขาแพ้ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์
มู่เฉินก็มองไปที่จักรพรรดินีด้วยความประหลาดใจ การตัดสินใจของนางเด็ดขาดนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลือกแบบนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงจ้องมองลึกล้ำไปที่จักรพรรดินี “มีไอ้เดรัจฉานตัวไหนที่ทรงพลังมากกว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกหรือไม่?”
จักรพรรดินีส่ายหัวเอ่ยเสียงขรึม “มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาคือผู้ปกครองของเผ่า”
“เป็นอย่างนี้เหรอ…”
มู่เฉินหายใจออกเบาๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปภายใต้สายตาของทุกคน ก่อนที่เสียงของเขาจะกระจายออกไป
“งั้นจากวันนี้ไปพวกมันจะเหลือห้าคนแล้ว”