หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1377 ทำลายล้างฉับพลัน
เมฆสีแดงเข้มกระจายออกไป
ผู้คนในเมืองตัวสั่นเทาด้วยความกลัวบนใบหน้า เงาสีแดงเข้มบนท้องฟ้ามองลงมาอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ากำลังมองดูหมูหมาในคอก…
ภายใต้บรรยากาศสิ้นหวังระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาชายหนุ่มก็ย่างเท้าออกจากห้องโถงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างสีแดงเข้มมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส “แกเป็นคนล้างบางเมืองของข้าหรือ?”
มู่เฉินผงกหน้ายิ้มอ่อน “ก็แค่บี้เห็บดูดเลือดตายไปเอง”
เมื่อเขาพูด คำพูดก็ดึงดูดสายตาที่แสดงความโหดร้ายมากมายทันที จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียจ้องมองมู่เฉินราวกับว่าพวกเขาต้องการฉีกร่างเขาออกจากกัน
ผู้คนในเมืองเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความกลัว พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าตอกกลับคำพูดของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต… นั่นเป็นการดำรงอยู่ที่ราวกับเทพปีศาจเชียวนะถ้าเขาโกรธขึ้นมาละก็ แม่น้ำเลือดคงผุดขึ้นแน่นอน
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหรี่ตาลงขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้าพูดโอหังกับข้าเช่นนี้”
มู่เฉินยิ้มเยาะพลางส่ายหัว “ดูเหมือนว่าแกจะกดขี่พิภพเขตล่างนี้มานานเกินไป ก็แค่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสียเท่านั้น นับเป็นอะไรได้?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พิภพเขตล่าง’ ดวงตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็หดลงขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ “แกมาจากมหาพันภพเรอะ?!”
มู่เฉินตอบ “พวกแกก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป สวรรค์จึงส่งคนมาจัดการไง”
“แค่แกเนี่ยนะ” ท่าทางเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตขณะที่ตอบว่า “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียของข้ารึ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม
ไอสังหารเลือดเย็นกะพริบในดวงตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต การแทรกแซงจากมหาพันภพอยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นพวกเขาต้องกำจัดชายคนนี้ให้จงได้ มิฉะนั้นหากจอมยุทธ์ในมหาพันภพแห่กันเข้ามา เผ่าเสี่ยเสียถึงกาลอวสานแน่
“ฆ่ามันซะ” เขากล่าวอย่างเย็นชาต่อแม่ทัพทั้งสี่ ตัวเขานิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องการที่จะตรวจสอบพลังของมู่เฉินก่อนสิ่งอื่นใด
“รับทราบ!”
แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ตะโกนก้อง จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย โดยไม่ลังเลใดๆ พวกเขากระทืบเท้าส่งร่างกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มสี่สายพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ครืนๆๆๆ!
รัศมีสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากทั้งสี่ ทำให้ฟ้าดินแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อชาวเมืองเห็นฉากนี้ก็อดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของแม่ทัพปีศาจโลหิต ตอนนี้พวกมันสี่คนรวมกลุ่มกันแม้แต่จักรพรรดินีของพวกเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าใดๆ
จักรพรรดินีและขุนนางน้อยใหญ่รวมตัวกันด้านนอก เฝ้าดูการเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยร่างกายที่ตึงเครียดขึ้น
เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงพลังแท้จริงของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถจัดการกับแม่ทัพทั้งสี่ได้หรือไม่
หากเขาล้มเหลว… วันนี้คงเป็นวันทำลายล้างเผ่าพันธุ์แล้ว
วาบ วาบ!
ภายใต้สายตาประหวั่นพรั่นพรึงนับไม่ถ้วน ร่างสีแดงเข้มทั้งสี่พุ่งเข้าหามู่เฉิน เขาเพียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงบ มองดูแม่ทัพปีศาจโลหิตที่มีรัศมีรุนแรงรอบร่าง
นิ้วมือกำเข้าหากัน กำปั้นแล่นแปลบปลาบด้วยผลึกแสง
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปโดยที่ร่างไม่ขยับ
ฮึ่ม ฮึ่ม!
หมัดตกผลึกพร่างพราวขยายออกอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาหมัดขนาดหนึ่งพันจั้งก็ทะยานออกไป หมัดทะลุผ่านมิติไปปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
หมัดพุ่งเข้ามากะทันหัน เมื่อปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ พวกเขาถึงได้ตอบสนอง ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป เสียงตะโกนดังออกเรียกกระแสน้ำสีแดงเข้มสี่สายไหลบ่าออกมาจากร่างกาย พลังโหดร้ายปะทะกับหมัดตกผลึก
ชี่ ชี่!
ทว่าเมื่อหมัดสัมผัสกับกระแสน้ำสีแดงเข้ม กระแสน้ำก็ถูกลบออกทันที ราวกับหิมะต้องลาวาอย่างไรอย่างนั้น…
ใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่เปลี่ยนไปรุนแรง ความหวาดผวาผุดขึ้น พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าการโจมตีกระบวนท่านี้จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…
ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!
“ถอยเร็ว!”
ทั้งสี่ถอยหนีกันจ้าละหวั่น
“คิดจะไปไหนเหรอ?” มู่เฉินยิ้มเยาะพร้อมกับไอสังหารแล่นพล่านในดวงตา ตัวเขาเกลียดเผ่าปีศาจต่างมิติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยั้งไว้แน่นอนในเมื่อโอกาสมาถึง
นิ้วสะบัด หมัดตกผลึกก็ซัดผ่านมิติกระแทกเข้ากับร่างทั้งสี่
อ๊าก!
เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังก้องระหว่างฟ้าดิน
หมัดตกผลึกหายไปอย่างช้าๆ ส่วนแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็ถูกลบออกจากโลกนี้ ภายใต้กำปั้นไม่เหลือแม้แต่กระดูก
หมัดเดียว แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า
ทั่วบริเวณเงียบสงัด ผู้คนที่มีสีหน้าสิ้นหวังก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้…
แม่ทัพปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันปวกเปียกต่อหน้าเขาขนาดนี้จริงหรือ?
“นั่นท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”
เมื่อผู้คนจากเมืองเถี่ยเสี่ยเห็น ก็ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะกระจายออกไป ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
“เป็นเทพจริงๆ หรือนี่?”
“เขาทรงพลังมาก ซ้ำยังไม่ใช่พวกเผ่าปีศาจ จะต้องเป็นเทพแน่อน!”
“ท่านเทพมาช่วยเราใช่ไหม?”
“…”
ผู้คนที่นี่คุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นริ้วความหวังในความสิ้นหวังแล้ว
ขุนนางน้อยใหญ่ที่เบื้องหน้าวังหลวงก็พูดไม่ออกได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองภาพร่างเงาชายหนุ่มบนท้องฟ้า
พวกเขาตกตะลึงกับฉากการสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตสี่คนด้วยหมัดเดียว
จักรพรรดินีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาระยิบระยับ พลังนี้เป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝัน
ขณะที่ชาวเมืองพากันตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานจึงสร้างความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้ผลกระทบสะท้อนใส่พวกเขาเข้าบ้างแล้ว
นั่นคือสี่แม่ทัพปีศาจโลหิตนะ! แม้จะอยู่ในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็อยู่ในลำดับชั้นที่สูง แต่กลับอ่อนแอราวกับมดปลวกที่เบื้องหน้าชายหนุ่มคนนี้
สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียฉายความกลัวบนใบหน้าขณะมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ยามนี้แววตาอีกฝ่ายน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน
พลังของชายหนุ่มคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายเขามาก
แต่ยิ่งเป็นตัวปัญหา พวกเขาก็ยิ่งต้องฆ่าทิ้ง มิฉะนั้นจะไม่เท่ากับให้ความหวังพวกมนุษย์หน้าโง่ที่นี่หรือ?
“หึ ท่านเทพรึ? ข้าจะสังหารสิ่งที่เรียกว่า ‘ท่านเทพ’ ด้วยตัวเองภายใต้สายตาของมันทุกคน แล้วมาดูกันว่าจะมีใครกล้าที่จะกบฎต่อเผ่าเสี่ยเสียในอนาคตอีกไหม!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์สีแดงเข้ม
เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเสียงตื่นเต้นในเมืองก็วูบลง ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทิ้งเงาน่าสะพรึงไว้ในหัวใจพวกเขา หากแม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็จะเทียบเท่ากับเทพมาร…
แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้
ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพียงการหยั่งเชิง
แม้แต่กลุ่มขุนนางเบื้องหน้าวังยังมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวของมู่เฉินก่อนหน้าจะน่าทึ่ง แต่นี่ยังไม่พอ นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ ความตกตะลึงจากก่อนหน้าก็จะอันตรธานหายไปสิ้นเชิง…
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตด้วยสายตาที่หรี่ลง โดยมีเจดีย์ผลึกแก้วอยู่ในดวงตา
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตย่างกรายลงมาจากเมฆสีแดงเข้มปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน กอดอกพร้อมกับแสงสีแดงเข้มพล่านในดวงตา “ถ้าแกออกจากพิภพนี่ตอนนี้ ข้าจะยอมให้แกไปแบบมีชีวิตอยู่”
มู่เฉินยิ้มอ่อนแล้วยื่นมือออกไป คลื่นหลิงทรงพลังสั่นไหวราวกับสายฟ้าในฝ่ามือขณะที่เขาจ้องมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต “งั้นข้าขอดูว่าแกมีความสามารถพอไหม”
“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว ก่อนที่มือแบออก ทันใดนั้นฟ้าดินก็มืดลง มหาสมุทรโลหิตไม่มีที่สิ้นสุดกวนตัวขึ้นที่ข้างหลัง เงาสีแดงเข้มขนาดหลายหมื่นจั้งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมฟ้าดิน ร่างเงาสีแดงเข้มทำให้มิติราวกับจะพังทลายลง…
จักรพรรดินีมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มก็กัดริมฝีปากจนมีเลือดไหลออก นั่นเป็นเพราะนางหวนนึกถึงว่ายักษ์ตัวนี้ฆ่าผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักว่าน่ากลัวเพียงใด …
ยักษ์ปีศาจนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเผชิญหน้าได้
แม้แต่ขุนนางจอมยุทธ์ข้างหลังนางก็มีใบหน้าซีดลงใกล้จะล้มแหล่มิล้มแหล่
ทั้งฟ้าดินสั่นสะท้านเพราะยักษ์ปีศาจตัวนี้
มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “นี่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของแกใช่ไหม?”
ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตระมัดระวังมากโดยไม่มีความที่จะหยั่งเชิงอะไร เขานำไม้เด็ดออกมาทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
มู่เฉินยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว ผลึกแสงกะพริบในดวงตาก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะทะยานออกมาตกลงบนฝ่ามือของเขา
“งั้นข้าก็ไม่ต้องสุภาพแล้ว…”