หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1390 วิธีสุดท้าย
ภายในเจดีย์ผลึกแก้วขนาดใหญ่
จอมปีศาจโลหิตยืนนิ่งขณะที่กวาดตา ทว่าสีหน้าท่าทางของเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นมองไปที่จอมปีศาจโลหิตโดยไม่มีสีหน้าท่าทางอะไรเหมือนกัน
“ไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถต้านทานสายฟ้าโลหิตล้ำลึกได้…” จอมปีศาจโลหิตยิ้มให้มู่เฉินอย่างไม่แยแส ดูเหมือนจะมีความตกใจอยู่เล็กน้อย
จอมยุทธ์อยู่ใต้ระดับเทียนจื้อจุนจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีภายใต้การโจมตีนี้ ดังนั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรอดมาได้
ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตกวาดมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับแสงสีแดงเข้มกะพริบในดวงตาราวกับว่าสามารถมองทะลุร่างของอีกฝ่ายได้ ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง รอยยิ้มผิดปกติปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ที่แท้สายฟ้าโลหิตอวสานของข้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผล…”
มู่เฉินหดตาลงพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แสงหลิงพวยพุ่งในร่างกาย แสงสองดวงก็ปรากฏขึ้นราวกับว่าจะหลุดออกมาจากร่าง
ทั้งสองก็คือร่างรองของเขา เนื่องจากเขาเพิ่งควบคุมขั้นสามรวมได้ กระบวนการจึงยังไม่สมบูรณ์แบบ บวกกับความจริงที่ว่าเขาเพิ่งประสบกับสายฟ้าโลหิตก่อนหน้า ทำให้การหลอมรวมของเขาเริ่มแสดงสัญญาณของการล่มสลาย
ตามสถานการณ์นี้เขาจะไม่สามารถคงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ไว้ได้นานแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่ร่างรองออกจากร่าง พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะลดลงอย่างมีนัย ในเวลานั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงกอดอกมองไปที่มู่เฉินด้วยท่าทางเยาะเย้ย ราวกับกำลังดูอีกฝ่ายจะดิ้นรนครั้งสุดท้ายอย่างไร
“จอมปีศาจ…ตัวปัญหาแท้จริง”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาเยาะเย้ยจากจอมปีศาจโลหิต มู่เฉินก็ทอดถอนหายใจ เขาได้พบกับศัตรูที่ทรงพลังมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาไม่เคยสัมผัสกับการถูกวางไว้ในจุดที่ไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าเขารู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนและระดับตี้จื้อจุนมีช่องว่างที่ไม่อาจบรรยายได้อยู่แล้ว หากข่าวที่เขาต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจส่งไปถึงมหาพันภพละก็ ไม่รู้จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขนาดไหน เพราะในสถานการณ์ปกติ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีแต่ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย แต่มู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมปีศาจได้จนถึงจุดนี้ นี่เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออยู่แล้ว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมปีศาจโลหิตพลางพึมพำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องพยายามดักจับมันก่อนที่ร่างรองจะออกจากร่างไป”
โดยไม่ลังเลมือของเขาก็ประสานเข้าด้วยกันเริ่มวาดตราประทับ
ครืนๆ!
เจดีย์ผลึกแก้วสั่นสะเทือน ภาพเงาปีศาจดุร้ายแปดร่างปรากฏขึ้น ทำให้เกิดรัศมีร้ายกาจขึ้นภายในเจดีย์
เมื่อมองไปที่ภาพเทพปีศาจทั้งแปด ใบหน้าของจอมปีศาจโลหิตก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากบนนั้น
“ภาพเหล่านี้…ถูกชำระโดยมีนักรบราชันปีศาจเป็นวัสดุตั้งต้นรึ!” ดวงตาของจอมปีศาจโลหิตหดลง เขารู้สึกถึงรัศมีปีศาจที่หลงเหลือจากภาพเหล่านั้น ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขาในตอนนี้อีก
นั่นแปลว่าพลังของราชันปีศาจเหล่านี้ตอนยังมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งกว่าเขา!
ขณะที่จอมปีศาจโลหิตกำลังตกตะลึงมู่เฉินก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วโบกมือ กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากปกคลุมเจดีย์
ครั้งนี้มู่เฉินนำของเหลวจื้อจุนทั้งหมดที่เหลือติดตัวหนึ่งร้อยห้าสิบล้านหยดออกมา
ตู้ม!
เมื่อของเหลวจื้อจุนกลายเป็นกระแสธาร ภาพปีศาจทั้งแปดก็เปิดปากอย่างตะกละตะกลามเริ่มกลืนกินเข้าไป
เมื่อเริ่มกินภาพปีศาจทั้งแปดก็ค่อยๆ ขยับเขยื้อนตัวออกจากกำแพงก่อนที่จะหลุดพ้นออก
พวกเขาราวกับเทพปีศาจแปดองค์ยืนอยู่ภายในเจดีย์เปล่งพลังดุร้ายหาใดเปรียบ
ฟิ้ว!
ด้วยความคิดวูบเดียวของมู่เฉิน ภาพปีศาจทั้งแปดก็บินออกไปพุ่งไปยังจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตหรี่ตาก่อนจะก้าวออกไปปรากฏตัวต่อหน้าหนึ่งในภาพปีศาจ จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือออกไป
ปัง!
คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวสร้างความหายนะ ร่างกายจอมปีศาจโลหิตสั่นสะท้าน ขณะที่ภาพปีศาจกระเด็นกลับกระแทกเข้ากับผนัง ทำให้เกิดร่องลึกขึ้น
ฟิ้ว!
ภาพปีศาจอีกเจ็ดภาพบินไขว้ไปมาล้อมรอบจอมปีศาจโลหิตก่อนที่จะทำการโจมตี
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองฝ่ายโรมรันพันตู ทว่าจอมปีศาจโลหิตก็ทรงพลังมาก ไม่กลัวแม้จะเผชิญสถานการณ์นี้ เขาซัดภาพปีศาจกลับไปอย่างต่อเนื่อง
“ภาพปีศาจในสถานะนี้ น่าจะมีพลังที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวกับฉากนี้ ตามการคาดเดาของเขาถ้าต้องการที่จะกู้คืนภาพปีศาจให้กลับมามีความแข็งแกร่งของระดับเทียนจื้อจุนจะต้องใช้ของเหลวจื้อจุนสี่ถึงห้าร้อยล้ายหยด ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนด้วย ไม่งั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้
“แต่น่าจะยังพอกักจอมปีศาจโลหิตไว้ได้ชั่วคราว”
ทันใดนั้นมือของมู่เฉินก็ประสานเข้าด้วยกัน ภาพปีศาจทั้งแปดถอยกลับทันที ก่อนที่แสงสีดำจะกางออกจากฝ่ามือพวกเขา ในเวลาไม่กี่นาทีก็ก่อตัวเป็นม่านสีดำ
ม่านหดลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นกรงกักขังจอมปีศาจโลหิตไว้
ทุกหมัดของจอมปีศาจโลหิตทำให้ม่านสั่นสะท้าน ดูจากรูปการณ์คงอยู่ได้ไม่นาน
มู่เฉินโบกมือ ผลึกแสงทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากเจดีย์ก่อนที่จะตกลงไปบนม่าน
ชี่ ชี่
ผลึกแสงกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สลักลวดลายลงม่านนั่น ในขณะที่ลวดลายก่อตัวขึ้น ม่านที่สั่นสะท้านก็มั่นคงขึ้น ไม่ว่าจอมปีศาจโลหิตจะโจมตีอย่างไร ก็ไม่สามารถเขย่าได้แม้แต่น้อย
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจกับภาพนี้ แต่เขารู้ว่าซื้อเวลาได้อึดใจเท่านั้น แม้ว่าเขาจะยืมพลังภาพปีศาจทั้งแปดและพลังปิดผนึกของเจดีย์ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จอมปีศาจโลหิตจะหลุดออกไปได้ในไม่ช้า
ในเวลานั้นเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่สามารถใช้งานในเวลาสั้น… กรณีนี้เขาจะสูญเสียไพ่ตายทรงพลังที่มีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิต
จอมปีศาจโลหิตรู้ว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงมองไปด้วยสายตาเยาะเย้ย
“หยุดดิ้นรน มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ บางทีอาจเป็นการตายง่ายกว่าสำหรับเจ้านะ” เสียงเขาดังสะท้อนอย่างเย็นชา
มู่เฉินยิ้มไม่สนใจอีกฝ่ายก่อนที่ร่างเงาจะเคลื่อนหายออกไปจากเจดีย์
มู่เฉินไปปรากฏอยู่นอกภูเขาเสี่ยหมัว เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้า พวกเขาพากันคิดว่ามู่เฉินเป็นฝ่ายชนะ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะส่งเสียงโห่ร้อง มู่เฉินก็โบกมือ ท่าทางเคร่งขรึมทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านพลางปิดปากเงียบ
ไป๋ซู่ซู่เข้ามาหามู่เฉิน นางมองไปที่เจดีย์อย่างระมัดระวังก่อนที่จะถามอย่างกังวล “ท่านเทพ จอมปีศาจโลหิตเป็นอย่างไร?”
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งมู่เฉินก็ตอบว่า “ข้าขังมันไว้ชั่วคราว แต่เวลามีจำกัด เมื่อไรที่มันหลุดออกมาได้ ข้าจะไม่สามารถขัดขวางได้อีกต่อไป”
เมื่อไป๋ซู่ซู่ได้ยินใบหน้าของนางก็ซีดลง แสงในนัยน์ตาก็ลดวูบดูน่าสงสารยิ่งนัก
นางกัดริมฝีปากครู่เดียวก็พูดว่า “ท่านเทพถ้าไม่มีอะไรที่ท่านสามารถทำได้ก็รีบจากไปเถอะ”
นางรู้ว่าถึงมู่เฉินจะไม่สามารถเอาชนะจอมปีศาจโลหิตได้ แต่การหลบหนีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขา
มู่เฉินไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับขมวดคิ้ว เขายังมีหินสลักที่เทพจักรพรรดิสงครามมอบให้ ถ้าถึงขั้นวิกฤตจริงๆ เขาก็สามารถทำลายได้ แต่เขาไม่มั่นใจเท่าไรว่าหลินต้งจะมาที่พิภพเขตล่างนี้ได้หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุดเพื่อจัดการกับจอมปีศาจโลหิต
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ดวงตาเขาก็หรี่ลง เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ด้วยความลังเลเขายื่นมือออกมาแสงสีขาวกะพริบอยู่ภายใน ไข่มุกมังกรขาวก็ปรากฏขึ้น
เมื่อสะบัดนิ้วไข่มุกก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเบื้องหน้าเขา
ตอนนี้เขาทำได้เพียงพยายามเรียกเจตจำนงของจอมยุทธ์มังกรขาว เนื่องจาก ‘โอกาส’ เป็นสิ่งที่มีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่รู้
ถ้าเขาสามารถค้นหาเส้นทางสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้และผ่านการพัฒนา เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมปีศาจโลหิตได้
ทว่าไข่มุกมังกรขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้แววผิดหวังก็ฉายดวงตาของเขา ‘ยังไม่ได้อีกเหรอ?’
เขาถอนหายใจโบกมือ ขณะที่กำลังจะเก็บไข่มุก มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่ายามนี้ไข่มุกกำลังสั่นสะท้าน
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ลำแสงสีขาวพุ่งออกมา ร่างสูงวัยค่อยๆ รวมตัวอยู่บนไข่มุก…