หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1399 ผู้เฒ่าเฉวียนเทียน
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ
ในปีที่ผ่านมา ตำหนักมู่เข้ามายืนหนึ่งแทนที่สามขั้วอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ หลังจากที่มู่เฉินแสดงฝีมืออย่างเหนือชั้น
ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงเฟื่องฟูมากในช่วงปีที่ผ่านมา ครอบครองทรัพยากรครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือเลยทีเดียว รวมทั้งพลังก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นชื่อเสียงของพวกเขายังเลื่องลือไปทั่วทวีปอีกด้วย ซึ่งตรงกันข้ามประมุขสามขั้วอำนาจใหญ่ที่เก็บเนื้อเก็บตัว ทำให้มีเหล่าจอมยุทธ์น้อยใหญ่หันมาเข้าร่วมกับตำหนักมู่มากขึ้น
ทว่าประมุขทั้งสามก็ยังคงเงียบกริบเมื่อเผชิญกับตำหนักมู่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบคงอยู่อีกไม่นาน เนื่องจากประมุขทั้งสามมีขั้วอำนาจสูงสุดคอยหนุนหลัง คนเหล่านั้นไม่มีทางเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาสนับสนุนมานานหลายปีถูกเตะโด่งออกมาจากจักรวรรดิเหนือแน่
ดังนั้นนี่จึงเป็นความเงียบก่อนพายุจะมาเท่านั้น
มั่นถัวหลัวในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของตำหนักมู่ก็รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงไม่ผ่อนคลายและให้ความสนใจกับประมุขทั้งสามตลอดเวลา
นางรู้ว่าประมุขทั้งสามจะมีการตอบโต้แน่นอน
และก็ไม่ผิดจากความคิดของนาง ครึ่งปีหลังจากที่มู่เฉินไปก็มีตำหนักแห่งหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า บินคว้างอยู่เหนือตำหนักมู่
เมื่อตำหนักนั่นลงมาก็สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนในตำหนักมู่ เนื่องจากแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากมัน ครอบคลุมรัศมีหลายล้านลี้เลยทีเดียว ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริง!
ทว่าตำหนักนั้นก็เพียงลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ แต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่น เพียงแค่มีจดหมายหยกส่งลงมา
จดหมายหยกพุ่งลงมาตามด้วยเสียงหนักแน่นดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ
“ข้าชื่อผู้เฒ่าเฉวียนเทียน มาเพราะการขอร้องจากผู้อื่น ประมุขตำหนักมู่ ยังไม่ออกมาพบอีกเรอะ?!”
เสียงดังก้องด้วยความไม่แยแส ชัดว่าไม่ได้เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา ฟังดูเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนผู้น้อย
น้ำเสียงนั้นทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าชายคนนั้นเคลื่อนไหวคงไม่มีใครในตำหนักมู่รับมือได้
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ปลดปล่อยความกดดันเบื้องบน มั่นถัวหลัวก็โกรธเคือง ในตอนแรกนางรับจดหมายไว้ คิดจะเจรจากับเจ้าตำหนักคนนั้น แต่นางถูกกันออกไปหลังจากมาถึงด้านหน้าตำหนัก
“ให้ประมุขเจ้ามาเอง ตัวเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพบกับตาเฒ่าคนนี้” เมื่อมั่นถัวหลัวถูกปฏิเสธ เสียงเรียบนิ่งก็ดังขึ้นจากขอบฟ้า
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเขียวคล้ำจากการถูกลดเกียรติ จากนั้นนางก็สูดหายใจระงับความโกรธในใจ ดึงป้ายราชันสังหารปีศาจที่มู่เฉินให้ไว้ เขวี้ยงเข้าไปในตำหนักนั่น
ป้ายราชันสังหารปีศาจเป็นวัตถุของวังมหาพันภพและเป็นตัวแทนสถานะอีกด้วย ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาจะกล้าท้าทาย
แต่คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้น ป้ายราชันสังหารปีศาจถูกโยนกลับออกไป
“ราชันสังหารปีศาจที่ไร้อำนาจต้องการจะลองดีกับข้าเหรอ?”
“กลับไปซะ ให้ประมุขของเจ้ามาพบกับข้า ไม่งั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่สักหลายปี มาดูว่าตำหนักมู่ของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เมื่อมั่นถัวหลัวรับป้ายกลับมา ใบหน้าของนางมืดครึ้ม แต่หัวใจดิ่งลง จากคำพูดดังกล่าว ชัดว่าคนผู้นี้จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับมู่เฉินและเตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่มีความเกรงกลัวต่อวังมหาพันภพ
เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ มั่วถัวหลัวก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นางทำได้เพียงมองไปอย่างเย็นชาก่อนที่จะสะบัดหน้าจากมา
ในครึ่งปีต่อมาตำหนักนั่นก็ยังลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ตามที่ประกาศไว้ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนก็ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่รู้สึกขมขื่นนัก
นี่เหมือนกับการสร้างความอัปยศอดสูให้ตำหนักมู่ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนคนนั้นจงใจจะอยู่นอกประตูบ้านพวกเขา ซึ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงกันทางอ้อม
เมื่อตำหนักมู่ประสบปัญหานี้ สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็มา ทั้งหมดสามารถเข้าสู่ตำหนนักแห่งนั้นได้ พวกเขาเข้าคารวะผู้เฒ่าเฉวียนเทียน
สมาชิกตำหนักมู่เฝ้ามองฉากนี้อย่างชัดเจน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
ตอนนั้นเองที่สามขั้วอำนาจก็เริ่มผนึกกำลัง ค่อยๆ กลืนกินดินแดนของตำหนักมู่…
สิ่งนี้ทำให้ตำหนักมู่ถูกโยนเข้าสู่วิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อนและใกล้จะล่มสลาย
เมื่อเวลาผ่านไป
ข่าวคราวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ข่มเหนือตำหนักมู่ไม่เพียงแต่กระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว ดังนั้นหูตาทั้งหมดจึงมุ่งตรงมาที่ภูมิภาคทางเหนือทันที
การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนดึงดูดความสนใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
แม้จะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวว่าไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งในการต่อสู้ แต่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจกับตำหนักมู่ มันเป็นเพียงความบาดหมางส่วนตัวกับมู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎใดๆ
เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อตำหนักมู่ที่ไม่มีแม้แต่จอมยุทธ์ในระดับนี้
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตำหนักมู่ ทุกคนก็เฝ้าสังเกตการณ์จากข้างสนาม มิหนำซ้ำยังหวังว่าตำหนักมู่จะแตกฉานซ่านเซ็น เพราะถึงยังไงพลังต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
โชคดีที่ตำหนักมู่ยังไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าพวกเขาสามารถหาขั้วอำนาจสนับสนุนได้ในอนาคต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการพุ่งทะยานของตำหนักมู่
ดังนั้นตำหนักมู่จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยไม่รู้ตัว…
ครึ่งปีผ่านไปในพริบตา
สำหรับตำหนักมู่ครึ่งปีนั้นเป็นความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกพวกเขาเฟื่องฟู แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะตาเฒ่าเฉวียนเทียน
ทว่าผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แม้ว่าเขาจะสามารถพลิกคว่ำพลิกหงายตำหนักมู่ได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับกันเขาเลือกวิธีที่เลวร้ายนี้เพื่อขยี้ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์ตำหนักมู่
เขาจะส่งจดหมายหยกลงมาทุกวันเพื่อบังคับให้มู่เฉินปรากฏตัว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มู่เฉินจะไม่มาปรากฏตัว เมื่อเวลาผ่านไปก็มีข่าวลือหนาหูว่าประมุขตำหนักมู่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจนหนีหางจุกตูดไปแล้ว…
ซึ่งเป็นประมุขทั้งสามที่ปล่อยข่าวลือนี้ และก็สร้างผลกระทบยอดเยี่ยม ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าสวามิภักดิ์ตำหนักมู่ในตอนแรกก็กำลังสั่นคลอนและแสดงสัญญาณตีจาก
เพราะมองจากภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน ตำหนักมู่แสดงสัญญาณการล่มสลาย ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร มนุษย์ก็ยังมองเพียงแต่ตัวเอง พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับตำหนักมู่
ดังนั้นตำหนักมู่จึงล้มลุกคลุกคลานและในเวลาเพียงครึ่งปี ความเจริญรุ่งเรืองไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ดูเหมือนล่มสลายลงทุกเมื่อ…
อีกวันผ่านไป
จอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ก็มารวมตัวกันพร้อมกับบรรยากาศหดหู่ พวกเขามองขึ้นไปที่ตำหนักบนท้องฟ้าซึ่งมีความกดดันเล็ดลอดออกมา บีบทุกคนเอาไว้
“ท่านมั่นถัวหลัว สำนักภูเขาเหล็กและสำนักเสียงสวรรค์ประกาศแยกตัวจากตำหนักมู่ในวันนี้แล้ว” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่อหน้าทุกคน ใบหน้าของพวกนางไม่น่าดูเลยทีเดียว แม้ว่าจะพยายามอดทนมาตลอดครึ่งปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า
ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคล้ายกับภูเขาที่ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกหายใจไม่ออก ทุกคนตื่นตระหนกนัก หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ของมู่เฉินในอดีต ตำหนักมู่คงพังทลายไปนานแล้ว
ขณะนี้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต่อขั้วอำนาจ
มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตำหนักสูงตระหง่านพร้อมกับกำหมัดขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เฒ่าเฉวียนเทียนชั่วร้ายจริงๆ เขาต้องการใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตำหนักมู่ล่มสลาย”
หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เงียบลงก่อนที่จะถามพูดว่า “มีข่าวท่านประมุขหรือยัง?”
มั่นถัวหลัวส่ายหัว “เขากำลังมองหาวิถีเทียนจื้อจุน แม้แต่พวกข้าก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้”
หลิ่วเทียนเต้ายิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเราคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน”
มั่นถัวหลัวกัดฟันตอบ “ตราบใดที่มู่เฉินยังอยู่ตำหนักมู่ก็จะคงอยู่ เมื่อเขาก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน ตำหนักมู่ก็จะฟื้นขึ้นได้ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ตาม!”
พวกหลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจเฮือกในใจ ระดับเทียนจื้อจุนบรรลุง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จมากมายและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีโอกาส จะง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่สถานการณ์นี้ก็ยังยากที่จะแก้ไข เพราะแม้ว่าในตำหนักนั้นจะมีผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคนเดียว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามประมุขเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่อีกด้วย…
สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอันตรายมาก!
ฮึ่ม
ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ ริ้วแสงก็ร่อนลงมาอีกครั้ง
ริ้วแสงกลายเป็นจดหมายหยกพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องภูมิภาคทางเหนือ
“ไอ้หนูมู่เฉิน ถ้าแกยังไม่แสดงตัว กลัวว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในตำหนักมู่ของแกแล้ว…”
เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำเยาะเย้ยนั่น เสียงแตกลั่นก็ดังขึ้นในมือของนาง ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็โกรธเกรี้ยวตามกัน หากไม่ใช่เพราะช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาละก็ ตอนนี้พวกเขาคงทะยานออกไปแล้ว
ใบหน้าของทุกคนในตำหนักมู่ก็มืดมนลงเช่นกัน
“หืม?”
แต่ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวในระยะไกล แสงหลิงระเบิดออกก่อนที่ร่างเงาสูงโปร่งจะย่างกรายออกมา อึดใจเดียวเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นเหนือตำหนักมู่แล้ว
มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อมองไปที่ร่างเงานั้น อึดใจดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง
“นั่นคือ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านประมุข?” หลิ่วเทียนเต้าขยี้ตา จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ
ร่างอ่อนเยาว์พุ่งเข้ามาพลางโบกมือ จดหมายหยกก็บินเข้าไปในมือ เขาไม่แม้แต่จะมองก่อนที่จะบดขยี้ให้เป็นผุยผง
สายตาของเขาเย็นชาเมื่อมองไปที่ตำหนักเบื้องบนแล้วชี้นิ้ว
ตู้ม!
มิติรอบตำหนักนั่นพังทลายลงจากปลายนิ้วเขา สะเก็ดมิติกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าไปที่ตำหนักแล้วบดขยี้
เมื่อตำหนักถูกทำลาย เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับจิตสังหารเฉียบคม
“ในเมื่อแกชอบที่จะอยู่ในตำหนักมู่ของข้ามาก งั้นก็อยู่ต่อไม่ต้องไปไหนแล้ว…”