หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1404 ขู่ทุกทิศทาง
เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ทำเอาผู้คนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังกล้าที่จะท้าทาย ราวกับว่าไม่เกรงกลัวการรวมพลังของจอมยุทธ์ทั้งสามคน
ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวก็มีสีหน้าดิ่งลง นับตั้งแต่ที่พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้รับความท้าทายเช่นนี้
นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบด้านจำนวนด้วย
“ประมุขมู่ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับพวกเราสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวเรอะ” หลงเตียวมีสีหน้ามืดครึ้มพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา
มู่เฉินตอบอย่างสบายว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ?”
ขณะที่พูดแสงหลิงก็พุ่งออกมาจากร่างรองของเขา แต่ละคนก็เร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมา แสงกำจายออกไปปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต ชัดว่าก้าวเข้าสู่สภาพพร้อมรบเต็มที่
ในเวลานี้ทุกคนรู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้หลอก เขาตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามจริงๆ
จอมยุทธ์ทั้งสามมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หัวใจสั่นสะท้าน ขณะนี้พวกเขาตระหนักดีว่าด้วยร่างรองทั้งสอง มู่เฉินไม่ได้ด้อยกว่าในแง่ของจำนวน
หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับซึ่งอาจจบลงด้วยทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนตาย
ผลที่ตามมารุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
พวกเขาฝึกฝนมาอย่างขมขื่นหลายต่อหลายปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ยังไม่ได้รับชื่อเสียงเกียรติยศเพียงพอในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย การประลองกับมู่เฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด
ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสามคนไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉิน พวกเขาก็ไม่มีวันรวมตัวกันหรอก
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไว้วางใจในพันธมิตรชั่วคราวนี่ หากการต่อสู้เกิดขึ้นและมีสักคนวิ่งหนีไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
ตรงกันข้ามร่างรองทั้งสองของมู่เฉิน พวกเขาไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์กัน แต่ทั้งสามคนยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างสมบูรณ์ การปะทะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าได้
หากการต่อสู้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์นี้… โอกาสที่พวกเขาจะชนะไม่สูงเลย
ดังนั้นยามนี้พวกเขาทั้งสามจึงเริ่มลังเลและตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบทำให้ผู้คนที่จับจ้องมาต่างตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังถูกมู่เฉินข่มขู่ ไม่กล้าที่จะปะทะ
นั่นไม่ได้หมายความว่าแม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังกลัวมู่เฉินเหรอ?
ทุกคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัวในดวงตา
ด้วยตัวเขาสามารถปราบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อของมู่เฉินอาจดังระเบิดทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว
ความเงียบจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่อชี่จะถอนหายใจ “ประมุขมู่ไม่มากไปหรือ?”
มู่เฉินตอบเสียงเรียบเฉย “ตอนที่พวกเจ้าสามคนสนับสนุนเฉวียนเทียนเพื่อมากดดันตำหนักมู่ พวกเจ้าเคยคิดไหมว่ามันมากไป?”
เขายกเปลือกตาขึ้นมองทั้งสามคนอย่างไม่แยแส “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ข้ากลัวว่าตำหนักมู่ของข้าจะไม่มีความสงบสุขในอนาคต”
“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะต่อสู้ ข้าก็ยินดี ถ้าไม่มีใจก็ตามที่ข้าพูดก่อนหน้า ถอนออกจากจักรวรรดิเหนือ”
จื่อชี่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าทรัพยากรในจักรวรรดิเหนือจะไม่เล็ก แต่ถ้ำรัศมีม่วงของเขาก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุด ที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในทรัพย์สินและก็ไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับมู่เฉินเพื่อมัน
ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเมฆาม่วงที่อยู่ภายใต้สังกัดถ้ำรัศมีม่วงขอถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นการขอโทษต่อประมุขมู่”
เขาเป็นคนที่สามารถรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตอบสนองผลกำไรหรือขาดทุนด้วยความใจเย็น เนื่องจากเขารู้ว่าความได้เปรียบไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง เขาจึงตัดสินใจปล่อยไป การเติบโตของตำหนักมู่ไม่สามารถหยุดได้และตราบใดที่มู่เฉินอยู่ที่นี่ก็เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าถ้ำรัศมีม่วงของพวกเขา
เมื่อเห็นว่าจื่อชี่ถอยออกไปแล้ว เหลยจุนเจ่อก็ส่ายหัว “ภูเขาเหลยยิงของข้าก็ถอนตัวด้วยเช่นกัน”
เมื่อหลงเตียวเห็นฉากนี้ ดวงตาก็กะพริบด้วยความโมโห ถ้าทั้งสองคนไม่ร่วมมือ เขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมู่เฉินทั้งสามได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่เค้นเสียงเย็น ส่งสายตาแสดงความเกลียดชังไปที่มู่เฉิน จากนั้นร่างเงาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไป
การกระทำแสดงถึงการเลือกของเขาแล้ว
เมื่อประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็มืดครึ้มด้วยความขมขื่น พวกเขาไม่คิดว่าแม้แต่กองกำลังสนับสนุนของพวกเขาก็ยอมแพ้ มากกว่าจะต่อสู้กับมู่เฉิน
หากไม่มีการสนับสนุน พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรในการแข่งขันกับตำหนักมู่อีกล่ะ? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเขาในจักรวรรดิเหนือแล้ว
พอเห็นการเลือกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสาม สายตาของมู่เฉินห็วูบไหว แต่เขาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าทั้งสามที่ต่างมีความคิดไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเขาหรอก
แต่นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เฉวียนเทียนถูกปราบปราม ถ้าเขารอดไปได้ก็จะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ส่งนะ เชิญ” มู่เฉินประสานมือให้พลางพูดกับทั้งสามคนอย่างนิ่งเฉย
จื่อชี่และเหลยจุนเจ่อก็ได้แต่กลืนความโกรธแค้นลงท้องไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงจากไป หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องอับอายขายหน้ามากกว่านี้แน่
พร้อมกับการจากไปของพวกเขา ความกดดันที่ปกคลุมพื้นฟ้าและพื้นดินก็ค่อยๆ หายไป หลายคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากขณะที่ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก
มู่เฉินโบกมือ ร่างรองก็หายไป เจดีย์ที่อยู่ในมือก็กลับเข้าไปสถิตในดวงตา
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาทะลุทะลวงมองฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกล
เมื่อรู้สึกถึงการสายตาเจาะทะลุของมู่เฉิน แต่ละคนก็เริ่มผละออกและรู้สึกเสียดาย ถ้ามู่เฉินแสดงความอ่อนแอให้เห็น ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่พยายามเฉือนตำหนักมู่ออก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินทรงพลังสามารถดึงตำหนักมู่ที่กำลังอยู่ที่ขอบเหวกลับมาได้
นอกจากนี้เมื่อไรที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักมู่จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำของทวีปเทียนหลัวทันที ในอนาคตตำหนักมู่อาจมีโอกาสก้าวขึ้นด้านบนสุดของทวีปเทียนหลัวและกลายเป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง
ตอนนี้ก็เก่งกาจใช่เล่น อนาคตก็จะต้องลุกขึ้นผงาดเหมือนมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครหยุดเขาได้ ตำหนักมู่จะใช้ประโยชน์จากความปั่นป่วนและก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุด
บนท้องฟ้า เมื่อสายตาเหล่านั้นหายไป มู่เฉินก็ดึงความกดดันที่น่ากลัวรอบๆ ตัวออกแล้วพลิ้วลงมาจากท้องฟ้ายืนเบื้องหน้าตำหนักมู่
“ยินดีต้อนรับท่านประมุข”
เมื่อเห็นมู่เฉินลงมา หลิ่วเทียนเต้าและคนที่เหลือก็คุกเข่าด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า
มู่เฉินมองไปที่ทุกคน ก็เห็นว่าจำนวนจอมยุทธ์ชั้นสูงลดลงหลังจากที่เขาจากไป
เมื่อรู้สึกถึงสายตามองของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ก้าวออกมา “ภายใต้แรงกดดันของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าร่วมกับเราก็ขอถอนตัวไปมาก”
เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็สงบนิ่ง “ดีแล้ว พวกที่หนีไปเมื่อเผชิญอันตรายอยู่ไปก็เป็นหายนะ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า คนพวกนี้เป็นพวกหมาใน หากเก็บไว้ก็อาจเป็นปรสิตในตำหนักมู่แทน
แม้ว่าครั้งนี้ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่จะลดลง แต่พวกเขาก็สามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้
“สำหรับพวกที่ออกไปแล้วให้ยึดดินแดนและขับไล่พวกมันออกจากจักรวรรดิเหนือ ในอนาคตหากพวกมันกล้าที่จะแหย่เท้าเข้ามาอีกละก็ ฆ่าให้หมดตรงหน้าเลย” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงเย็น ถ้าเขาต้องการให้ตำหนักมู่ยืนยงอยู่ได้ เขาจะต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ส่วนคนที่กล้าหันหลังให้ตำหนักมู่เมื่อมีภัย เขาก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเตือนใจเสียหน่อย
เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน ทว่าบังเกิดความรู้สึกโชคดีในใจ โชคดีที่พวกเขาอดทนและอยู่ต่อไป มิฉะนั้นผู้โชคร้ายเหล่านั้นจะเป็นพวกเขาเอง
“เมื่อลงทัณฑ์แล้วก็มีรางวัลตอบแทนเช่นกัน”
มู่เฉินหันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง สายตาอ่อนโยนลง “สำหรับดินแดนที่ถูกยึดเหล่านั้นจะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ยังไม่ถอนตัวออก จำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ที่จะได้รับในอีกสามปีข้างหน้าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
คำพูดของเขาสร้างความสุขให้กับทุกคน เนื่องจากมีขั้วอำนาจจำนวนมากที่ถอนตัวออกจากตำหนักมู่ หากพวกเขาสามารถรับดินแดนเหล่านั้นได้ พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้หากจำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ก็จะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าแสดงความเคารพต่อมู่เฉิน “เราขอขอบคุณรางวัลจากท่านประมุข!”
เมื่อมั่นถัวหลัวและหลิงซีเห็นมู่เฉินใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งอย่างไร พวกนางก็สบตากันและยิ้ม พวกนางรู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน การพัฒนาของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดขึ้น…
คราวนี้ไม่มีใครหยุดการทะยานขึ้นได้อีกแล้ว