หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1410 เมืองฝูถู
ครึ่งเดือนต่อมา
จอมยุทธ์ตำแหน่งสูงของตำหนักมู่มารวมตัวกันด้านหน้าห้องโถง
มู่เฉินยืนไพล่มือหลังก่อนที่จะหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียนที่ยืนหน้าสุด
“ตอนที่ข้าไม่อยู่มั่นถัวหลัวจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักและหากมีใครมาท้าทายก็ต้องรบกวนผู้อาวุโสเฉวียนเทียนช่วยจัดการสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองคน
เฉวียนเทียนยิ้มพลางประสานมือ “ประมุขวางใจ ตอนนี้ข้าดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะรับผิดชอบสุดความสามารถ”
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ และมองไปที่มู่เฉิน “ระวังด้วย”
แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกระทั่งนางเองก็ต้องเงยหน้ามอง แต่นางรู้ว่าเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ
รากฐานของเผ่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”
เขาจะไม่รู้ถึงพลังของเผ่าโบราณได้อย่างไร? แต่เขามีแผนสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
“ไปกันเถอะ”
หลังจากฝากฝังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็หันไปพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยง เนื่องจากทั้งสองคนเคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน การมีพวกเขาเป็นผู้นำทางก็สามารถช่วยเขาได้หลายอย่าง
ทั้งสองพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูด
จากนั้นทั้งสามคนก็เคลื่อนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนที่ประกายแสงจะค่อยๆ มารวมตัวกัน…
รัศมีปกคลุมสายตาของเขา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า “เผ่าฝูถู…ข้ามาแล้ว”
ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาก็ทำงานหนักมาตลอดจนถึงวันนี้ คงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามและอดทนแค่ไหน…
ทว่าการทำงานหนักของเขาได้รับผลตอบแทนแล้ว เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตก้าวเท้าออกจากบ้านเกิดเพื่อท่องยุทธภพจนกระทั่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนในวันนี้และกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ
และตอนนี้… ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแก้เรื่องราวในอดีตทั้งหมด
แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกัน คนสามคนก็หายไปในพริบตา
ทวีปฝูถู
ที่นี่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ
ในฐานะที่เป็นทวีปใหญ่ ควรจะมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วน ทว่าบนทวีปนี้มีเพียงขุมกำลังเดียว นั่นก็คือเผ่าฝูถู
การตั้งชื่อทวีปว่าฝูถูก็สามารถบอกได้ว่าเผ่าฝูถูถือว่าทั้งทวีปเป็นดินแดนของตน แต่การกระทำที่ครอบงำนี้กลับไม่ได้ดึงดูดปัญหาใดๆ
เนื่องจากทุกคนรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันภพที่มีความแข็งแกร่งในการปกครองทั้งทวีป
เมืองสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทวีป เมืองนี้ได้ชื่อว่าเมืองฝูถูซึ่งเป็นหัวใจของทวีปนี้
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของทวีป เมืองฝูถูไม่เคยร้างราผู้คน ทว่าช่วงนี้ประชากรที่มาที่นี่ก็เพิ่มสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เนื่องจากขั้วอำนาจทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะดูงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู…
เนินเขาขนาดใหญ่ที่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสขนาดมหึมา ขณะนี้ร่างแสงนับไม่ถ้วนพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
“สมกับเป็นเผ่าฝูถู อำนาจในการเรียกรวมผู้คนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ” ร่างเงาสามร่างยืนอยู่ที่ริมจัตุรัสพร้อมกับรอยยิ้มของคนนำหน้า
พวกเขาก็คือมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงซึ่งใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางจากทวีปเทียนหลัว
มู่เฉินถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่จากกลุ่มร่างแสงที่ลงมาจากท้องฟ้า
ทุกกลุ่มต่างมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น
ในส่วนอื่นๆ ของมหาพันภพ พวกเขาอาจเป็นราชัน แต่ที่นี่พวกเขาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น
“จอมยุทธ์ที่ถูกเชิญโดยเผ่าฝูถูล้วนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจอ่อนแอบางส่วนเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูด้วย” หลิงซีกล่าว
“ตำหนักมู่ของเราคงถูกจัดเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจอ่อนแอสินะ?” มู่เฉินยิ้ม ตำหนักมู่เพิ่งจะผงาดเข้าสู่การเป็นขั้วอำนาจสูงสุด ในแง่ของรากฐานพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มมากมายที่นี่
หลงเซี่ยงพ่นลมหายใจ “ถ้านายหญิงได้รับการช่วยเหลือ ตำหนักมู่ก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย เทียบกับขั้วอำนาจอื่นในหาพันภพ เราก็จะจัดอยู่ในจุดสุดยอด”
มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัวก่อนจะมองไปที่ภูเขาใหญ่ ประตูมิติกำลังวูบไหว ประตูนั้นจะนำไปสู่มิติฝูถู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลใหญ่อาศัยอยู่
ถือเป็นหัวใจสำคัญของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว
ส่วนที่เหลือในทวีปนี้ถือได้ว่าเป็นกิ่งก้านใบเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีสมาชิกตระกูลย่อยเท่าไรที่พยายามให้ตระกูลใหญ่ยอมรับ
เรือขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ที่ด้านนอกประตูซึ่งจอดระหว่างเขตแดน บางครั้งก็จะลงมาที่จัตุรัสเพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเข้าสู่มิติฝูถู
มีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกป้องเขตแดนจากภายนอกและมีเพียงคนที่อยู่บนเรือเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้
“เกณฑ์ของประตูเผ่าฝูถูนี่สูงใช้ได้เลย” หลิงซีกวาดสายตามองและขมวดคิ้ว
นั่นเป็นเพราะตามกฎแล้ว เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่สามารถขึ้นเรือได้โดยไม่ต้องรอจนเหนื่อย ส่วนพวกที่ไม่ได้รับเชิญก็ได้แต่รอจนสุดท้าย
แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดที่มาด้วยตัวเองไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระทมในใจเท่านั้น
“รอไปเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่ได้มายินดีด้วย ถ้าพวกเขารู้ตัวตนของเรา กลัวว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ” มู่เฉินยิ้มและสงบนิ่งลง ทว่าในส่วนลึกของดวงตาของเขาพล่านด้วยไอเย็นเยือก
“นายน้อย เรามาที่เผ่าฝูถูอย่างนี้มันดีจริงหรือ?” หลงเซี่ยงลังเลก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงกังวล พวกเขารู้ซึ้งถึงทัศนคติที่เผ่าฝูถูมีต่อมู่เฉิน หากคนเหล่านั้นสัมผัสถึงตัวตนของมู่เฉินได้ละก็ ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถู ต่อให้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงไม่สามารถหนีรอดไปได้
มู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถูกจับกุมนะ”
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของมู่เฉินดี หากไม่มีการเตรียมการมู่เฉินก็ไม่ต้องหลุมพรางแน่นอน
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างแสงก็ทะยานลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส
เมื่อรัศมีจางหายไป ภาพเงาทรงเสน่ห์โดดเด่นก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
ร่างนั้นสวมชุดสีแดงเพลิงขับเน้นรูปร่างดึงดูดความสนใจของทุกคน โดยเฉพาะเสน่ห์เหลือล้นที่เล็ดลอดออกมาจากทุกอากัปกิริยาทำให้หัวใจสั่นไหวเลยทีเดียว
แม้จะทรงเสน่ห์ แต่สายตาของนางเย็นชานัก ทว่าเมื่อผสมผสานกันกลับยิ่งทำให้ดูน่าตื่นใจมากขึ้น
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนนั้น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มากประสบการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักนิด
แต่เมื่อสายตาของพวกเขาเห็นสัญลักษณ์เปลวเพลิงบนชุดของนาง หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเบนสายตาออก
เนื่องจากสัญลักษณ์นี้แสดงถึงพลังสูงสุดที่ไม่เป็นสองรองไปจากเผ่าฝูถู…
แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
“ไม่คิดว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะส่งตัวแทนมาด้วย… พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมชมงานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูมาก่อน ทำไมครั้งนี้ถึงมาล่ะ?” มีคนกระซิบกระซาบกัน
สาวทรงเสน่ห์ไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาโดยรอบ นางพาพรรคพวกเดินไปที่ศูนย์กลาง
เมื่อผู้ดูแลเผ่าฝูถูเห็นนาง สายตาก็เปลี่ยนไปด้วยความเคารพ กระวีกระวาดเชื้อเชิญ
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะทักทาย หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดใจบนใบหน้า
จากนั้นทุกคนก็เห็นนางเมินเฉยต่อผู้ดูแล หันเดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง
“มู่เฉิน เจ้ามาจริงด้วย”
มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากหัวใจ “เซียวเซียวนานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”
นางก็คือเซียวเซียวที่ไม่ได้พบกันมานาน ครั้งนี้นางมาในฐานะตัวแทนแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
เมื่อนางเห็นมู่เฉินใบหน้าที่เย็นชาก็อ่อนโยนและสดใสขึ้น นางเม้มปากก่อนจะก้าวเยื้องเผยให้เห็นคนข้างหลัง
นี่เป็นชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวที่ดูอัธยาศัยดีพร้อมกับสายตาลึกซึ้งทำให้เกิดปัญญา
เซียวเซียวยิ้มควงแขนชายชรา “มู่เฉินนี่คืออาจารย์ปู่ของข้า อาจารย์ของพ่อข้าน่ะ”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยความตกใจ เซียวเหยียนที่เป็นที่เคารพนับถือเป็นศิษย์ชายชราคนนี้เหรอ?!
หัวใจของเขาโลดด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะฉายสีหน้าเคร่งขรึมคารวะไปทางชายชราอย่างจริงจัง
“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”